![]()

ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับความนิยม รวมทั้งถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายและต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างพื้นฐานหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดการพัฒนา AI ก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ศูนย์ข้อมูล” หรือ Data Center หรือสถานที่เก็บรักษาและมีระบบประมวลผลที่ช่วยให้ AI ทำงานได้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย ดังนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากทั่วโลกจะได้เห็นการเติบโตของอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI แล้ว เรายังได้เห็นว่าบริษัทผู้ครอบครองเทคโนโลยี AI และคลังข้อมูลหลายแห่ง มีความต้องการขยายฐานการตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ที่มีพลังงานไฟฟ้ามากพอ และมีความมั่นคงปลอดภัยในเชิงกายภาพ เพื่อให้เป็นแหล่งทรัพยากรส่งเสริมการพัฒนา AI รวมทั้งช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (digital transformation) เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งระดับประเทศและระดับองค์กร
ไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่งได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลาง data center ของภูมิภาค และนี่คือบทความที่จะเสนอแนะว่า ไทยยังมีโอกาสอีก หากยังรักษาบทบาทในแวดวงนี้ได้อย่างต่อเนื่องและจริงจังด้านการเตรียมพร้อม เพราะ “ศูนย์ข้อมูล” กำลังจะเป็นสนามการลงทุนที่ได้รับความสนใจ มีมูลค่ามหาศาล และมีความท้าทายที่ต้องพร้อมบริหารจัดการเช่นกัน
ศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนา AI รวมทั้งอตุสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อื่น ๆ ที่กำลังจะตามมาในอนาคต เพราะการตั้งศูนย์ข้อมูลที่ปลอดภัยนั้นจะประกอบด้วยหลายธุรกิจ ทั้งการพัฒนาระบบให้บริการข้อมูล (server) การเชื่อมโยงเครือข่าย (network) การจัดเก็บข้อมูล (storage) อุปกรณ์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (device) รวมไปถึงที่ดินและพลังงานที่ต้องใช้ในการก่อสร้างและดำเนินการ (basic infrastructure) ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลจึงเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดความกังวลว่าจะมีปรากฏการณ์ AI bubble หรือปรากฏการณ์ที่มูลค่าของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนอาจเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพราะนักลงทุนมองว่า AI เป็นสินค้าที่ต้องซื้อหา มากกว่าเป็น “ตัวช่วยแก้ปัญหา” ที่ต้องพัฒนาต่อ
…แต่ไม่ว่า AI bubble จะมีความเสี่ยงแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถชะลอการขยายตัวของธุรกิจนี้ได้ เพราะในช่วงปลายปี 2568 นักวิเคราะห์ในต่างประเทศเกือบทุกสำนักมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2569 และอนาคตอันใกล้ การลงทุนในธุรกิจและกิจการที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยเฉพาะ “ศูนย์ข้อมูล” จะยังคงเติบโตต่อไป ซึ่งที่น่าเสียดายก็คือ การลงทุนในเทคโนโลยีจะเติบโตและขยายตัวเร็วกว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาบุคลากรมนุษย์ให้พร้อมต่อการเป็นผู้มีทักษะในการพัฒนาและใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยด้วย!!
สาเหตุที่แนวโน้มเรื่องการลงทุนและการสร้าง data center นี้มีความสำคัญ เพราะไทยมีโอกาสจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมาก ที่ผ่านมา ไทยมีต้นทุนที่ดีอยู่แล้วด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความมั่นคงพลังงาน และนโยบายดึงดูดการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้นักลงทุนและผู้ให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลที่ใช้กับ AI จากต่างประเทศเข้าไปลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และการที่ทั่วโลกกำลังต้องการสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น ทำให้ไทยยังคงมีโอกาสต้อนรับการลงทุนจากนักธุรกิจที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะมาจากประเทศตะวันตก ยุโรป หรือเอเชีย เพราะประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่ม Big Tech และบริษัทให้บริการด้านการเงินและการลงทุน หรือ financial sectors ต่างก็สนใจกำลังต้องการเป็นผู้ครอบครอง “ศูนย์ข้อมูล” ที่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา AI และเทคโนโลยีสำคัญอื่น ๆ เช่น ควอนตัมคอมพิวเตอร์ การพัฒนาแหล่งพลังงานปริมาณมหาศาลด้วยอานุภาคต่าง ๆ เทคโนโลยีโลกเสมือน หรือ Extended Reality (XR) เทคโนโลยี edge computing เพิ่มความเร็วในการประมวลผล และเทคโนโลยีชีวภาพที่ล้ำสมัย
ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องมีศูนย์ข้อมูลที่ปลอดภัยและมีแหล่งพลังงานไฟฟ้ามากพอที่จะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ดำเนินการไปได้อย่างไม่มีสะดุด …เท่ากับว่า “ความปลอดภัย” และ “แหล่งพลังงาน” คือหัวใจสำคัญของธุรกิจ data center ทั่วโลก ดังนั้น เรามีแนวโน้มจะได้เห็นประเทศต่าง ๆ พยายามสร้างศูนย์ข้อมูล ทั่งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพในการเป็นผู้นำโลกด้าน AI และเทคโนโลยี
และปัจจัยด้านพลังงาน อาจเป็นความท้าทายที่ไทยต้องรักษาสมดุลให้เหมาะสม เพราะการตั้ง data center เปรียบได้เหมือนสร้างโรงงานขนาดมหึมาที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมากเพื่อให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้เคยเป็นปัญหาของหลายประเทศมาแล้ว เพราะการใช้พลังงานปริมาณมากเสี่ยงสร้างมลภาวะและกระทบความมั่นคงทางพลังงาน จนทำให้มีการศึกษาไปถึงว่า มนุษย์เราควรไปสร้าง data center ใต้น้ำหรือในอวกาศดีไหม!?…เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ดังนั้น ไทยจึงควรจะส่งเสริมการทำธุรกิจดังกล่าว พร้อมกับผลักดันและใช้กฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาด ตามแนวคิด Green Data Center อย่างเคร่งครัดด้วย
และที่น่าสนใจอย่างมาก คือ ผู้ที่ครอบครองสัดส่วนการลงทุนด้าน data center ในตลาดโลก จะเปลี่ยนไป โดยอาจไม่ใช้บริษัท Big Tech เหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เพราะในอนาคต บริษัทด้านการเงิน การลงทุน และสินทรัพย์รายใหญ่ระดับโลก เช่น บริษัท Blackstone และบริษัท TPG ของสหรัฐฯ จะเข้าไปมีบทบาทเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนรายใหญ่ในกิจการศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น จากนั้น มีนักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลจะย้ายจากกลุ่ม Big Tech ไปอยู่ในมือกลุ่ม “ผู้เล่นรายใหม่” ที่เป็นนักลงทุนและนักธุรกิจจากประเทศอื่น ๆ มากขึ้น
“ผู้เล่นรายใหม่” นี้จะมีบทบาทที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะทำให้โฉมหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้เล่นรายใหม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครอง AI มาก่อน แต่หากเป็นรัฐบาล หรือบริษัทที่มีทรัพยากรด้านพลังงานมากเพียงพอ ก็สามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งและมีอำนาจต่อรองในเวทีการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกได้ แม้ว่าผู้เล่นรายใหม่จะทำให้ต้องมีการแข่งขันระหว่างประเทศเพื่อช่วงชิงทรัพยากรจากพื้นที่ต่าง ๆ แต่ก็มีข้อดีในมิติการตลาดและความมั่นคงทางไซเบอร์ เนื่องจากมีการกระจายความเสี่ยง และไม่ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจมากเกินไป
อาจสรุปได้ว่า การที่เทคโนโลยี AI จำเป็นต้องมีศูนย์ข้อมูล ทำให้การแข่งขันระหว่างประเทศและบริษัทต่าง ๆ เพื่อครอบครองกิจการที่เกี่ยวข้องกับ AI รวมทั้งระบบอัตโนมัติต่าง ๆ มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นในอีกระยะ 2 ปีข้างหน้า มีโอกาสย้ายฐานการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูลจากภูมิภาคอเมริกาไปยังเอเชีย ไทยซึ่งมีศักยภาพในการเป็นที่ตั้งศูนย์ข้อมูลของโลก ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบระเบียบและกฎหมายทั้งในมิติเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและพลังงานสะอาด เพื่อป้องกันผลกระทบ และความท้าทายต่าง ๆ ที่จะตามมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งการ “จัดโซน” พื้นที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวให้เหมาะสม ตลอดจนให้ความสำคัญให้มากกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญและระดับทั่วไป ให้พร้อมต่อการควบคุมอุตสาหกรรมแบบใหม่ที่จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาบทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ







