กองทัพอิสราเอลโจมตีฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทั่วพื้นที่ฉนวนกาซาด้วยขีปนาวุธ รถถังและการโจมตีทางอากาศเมื่อ 17 ธ.ค.66 รวมทั้งในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัย และโรงพยาบาล ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้คู่ขัดแย้งยุติการปฏิบัติการทางทหารต่อโรงพยาบาล ขณะที่รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่าปฏิบัติการทั้งหมดเน้นโจมตีกองกำลังติดอาวุธ และหลีกเลี่ยงประชาชนแล้ว ปัจจุบันมีรายงานชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิตจากความรุนแรงครั้งนี้แล้วอย่างน้อย 19,000 คน นอกจากนี้ มีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลประสบความสำเร็จในการตรวจพบอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่หลบซ่อน ลำเลียงยุทโธปกรณ์ และปฏิบัติการของสมาชิกกลุ่มฮามาส อุโมงค์ดังกล่าวซ่อนอยู่ใต้เนินทราย บริเวณชายแดนฉนวนกาซา-อิสราเอล
ทั่วโลกคาดหวังให้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวครั้งที่ 2 เพื่อปล่อยตัวประกันเพิ่ม และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ปัจจุบันอียิปต์และกาตาร์อยู่ระหว่างเร่งการเจรจา และย้ำว่าทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมเจรจา แต่มีอุปสรรคระหว่างกันอยู่มาก เฉพาะอย่างยิ่งความเห็นที่แตกต่างกันของทั้ง 2 ฝ่ายเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ จึงยังไม่มีสัญญาณการหยุดยิงในสัปดาห์นี้ สำหรับเงื่อนไขสำคัญของกลุ่มฮามาส คือ กองทัพอิสราเอลต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ และหยุดยิงโดยสมบูรณ์ แลกกับการปล่อยตัวประกัน ทั้งนี้ แม้จะยังไม่มีการหยุดยิง แต่มีความพยายามเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยใน 18 ธ.ค.66 อิสราเอลเปิดช่องข้ามแดนอิสราเอล-กาซา Kerem Shalom เป็นครั้งแรก เพื่อให้รถบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในพื้นที่
สหรัฐอเมริกายังคงติดตามสถานการณ์ในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง และส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือนอิสราเอลเพื่อหาแนวทางลดความรุนแรงและความขีดแย้งระหว่างประเทศที่ตึงเครียดขึ้นจากสถานการณ์นี้ โดยจะส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยือนอิสราเอล หลังจากการเยือนคูเวตในสัปดาห์นี้
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของสหราชอาณาจักรให้ความเห็นว่าความรุนแรงครั้งนี้ที่ยืดเยื้อจะเสี่ยงทำให้อิสราเอลสูญเสียความชอบธรรมในการปกป้องตนเอง เนื่องจากยุทธวิธีที่อิสราเอลใช้ในฉนวนกาซาปัจจุบันสร้างผลกระทบต่อประชาชนและพลเรือนมากกว่าสมาชิกกลุ่มฮามาสจำนวนมาก และยุทธวิธีนี้จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยืดเยื้อรุนแรงต่อไปอีกอย่างน้อย 50 ปี