ข่าวสารนิเทศองค์การสหประชาชาติ(United Nations-UN) และสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 15 เม.ย.67 เกี่ยวกับการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council-UNSC) ในประเด็นสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ระหว่าง 14-15 เม.ย.67 ว่าที่ประชุม UNSC ไม่มีการออกข้อมติหรือแถลงการณ์ต่อกรณีอิหร่านโจมตีอิสราเอล เมื่อ 13 เม.ย.67 โดยสมาชิกไม่ถาวร UNSC 10 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ โมซัมบิก เซียร์ราลีโอน แอลจีเรีย เอกวาดอร์ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และมอลตา เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด
ส่วนสโลวีเนียประณามทั้งการโจมตีสถานกงสุลอิหร่านของอิสราเอลและการโจมตีอิสราเอลของอิหร่าน ขณะที่กายอานาระบุว่าการใช้ความรุนแรงจะยิ่งก่อให้เกิดความรุนแรงและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลือกหนทางแห่งสันติภาพและการเจรจา
ด้านสมาชิกถาวร UNSC 5 ประเทศ มีความเห็นแตกต่างกัน โดย สหรัฐฯ ประณามการโจมตีของอิหร่านว่าก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อประชาชนอิสราเอลและประเทศสมาชิก UN ในภูมิภาค และสนับสนุนสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง ฝรั่งเศส ระบุว่าการโจมตีของอิหร่านเป็นการกระทำที่สั่นคลอนเสถียรภาพและเสี่ยงเกิดการลุกลาม และชื่นชมอิสราเอลที่สามารถป้องกันการโจมตีสำเร็จ
ด้านสหราชอาณาจักร ระบุว่าอิหร่านมีเจตนาให้เกิดความวุ่นวายในภูมิภาค และสหราชอาณาจักรจะยืนหยัดเพื่อความมั่นคงของอิสราเอล และพันธมิตรในภูมิภาค รวมถึงจอร์แดนและอิรัก รัสเซีย ตั้งข้อสังเกตว่าเลขาธิการ UN ไม่มีความเป็นกลาง โดยกล่าวประณามทันทีที่อิหร่านโจมตีอิสราเอล แต่กรณีอิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรียเมื่อ 1 เม.ย.67 กลับไม่เสนอรายงานต่อ UNSC เพื่อจัดประชุมฉุกเฉิน นอกจากนี้รัสเซียเห็นว่าหลังการโจมตีดังกล่าวอิหร่านไม่มีเจตนาจะยกระดับปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลอีกต่อไป
จีน กล่าวถึงการโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรียว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และเห็นว่าการปฏิบัติการของอิหร่านเป็นการตอบสนองต่อการรุกรานของอิสราเอลต่อสถานที่ทางการทูต