ทำไมเราต้องรู้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปี 2568 ไปในทิศทางใด เติบโตมากน้อยเพียงใด ก็เพราะว่า ไทยเราเป็นประเทศที่อยู่ในประชาคมโลกที่ต้องมีการพึ่งพาทางเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน หากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกสดใส ประเทศที่เป็นคู่ค้ากับเราขยายตัวดีก็จะมีแรงซึมซับสินค้าของไทยที่ส่งออกไปขายต่างประเทศ หรือชาวต่างชาติมีเงินจับจ่ายใช้สอยเข่าไปลงทุน หรือท่องเที่ยวในไทย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) หรือ IMF ซึ่งเป็นหน่วยงานระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่าในปี 2568 จะเติบโตร้อยละ 3.3 และในปี 2569 เท่ากัน ตัวเลขอาจไม่ดีนัก หากเมื่อเทียบกับห้วงปี 2543-2562 ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 3.7 แต่ปี 2568 เงินเฟ้อจะลดลง และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ของโลก มีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้น หากดูตัวเลขประมาณการณ์ของไตรมาส 1/2567
IMF ประเมินนโยบายที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะสั้นก็ยังเป็นนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเปลี่ยนไปอย่างมากจากรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อน รวมทั้งความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในประเทศกลุ่มยูโรโซน ขณะที่จีนก็จะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5 โดยประมาณการณ์ไว้ร้อยละ 4.6 ซึ่งความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลให้ประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เป็นคู่ค้าด้วยการพึ่งพาส่งออกไปจีน ได้รับผลกระทบในการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต
ในมุมมองของการค้าโลก IMF ประเมินการเติบโตของมูลค่าการค้าโลกปี 2568 ลดลงเล็กเล็กน้อย แต่ก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็ไม่ใช่จะเพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเพราะความเสี่ยงจากนโยบายการค้าที่มุ่งปกป้องทางการค้ามากขึ้นจากประเทศมหาอำนาจ ซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าขอประเทศตนเองมากขึ้น เช่น จีนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าในกุมภาพันธ์ 2568 จีนก็จะอาจตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน อย่างไรก็ดี ประเทศในเอเชียได้ติดตามอย่างใกล้ชิดกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะมีสหรัฐฯ และจีนเป็นคู่ค้าหลัก
ขณะที่ OECD ประเมินตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2568 และปี 2569 จะเติบโตร้อยละ 3.3 เท่ากับ IMF อย่างไรก็ดี ธนาคารโลก (World Bank-WB) และรายงานเศรษฐกิจโลกของสหประชาชาติ (UN) ที่ชื่อ The World Economic Situation and Prospects ได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 และในปี 2569 น้อยกว่าที่ IMF ประเมิน โดย WB ประเมินว่า จะเติบโตเท่ากับปี 2567 คือร้อยละ 2.7 แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความยืดหยุ่นที่จะรับการเปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่ OECD ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกในปี2568 และปี 2569 จะเติบโตเท่ากันที่ร้อยละ 2.8
ด้านตัวเลขในภูมิภาคอื่น ๆ รายงานเศรษฐกิจโลกของสหประชาชาติ (UN) ที่ชื่อ The World Economic Situation and Prospects ก็เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน และยุโรปจะชะลอตัวลง เฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ตลาดแรงงานจะอ่อนตัวลง การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เป็นปัจจัยการกระตุ้นให้เศรษฐกิจ จะไม่ค่อยคึกคัก ขณะที่จีนจะเติบโตร้อยละ 4.8 ในปี 2567 ส่วนเอเชียใต้ตามรายงานระบุว่าจะเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในปี 2568 เลยทีเดียว โดยจะเติบโตร้อยละ 5.7 ซึ่งอินเดียที่เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียจะเติบโตร้อยละ 6.6 และเศรษฐกิจภูฏาน เนปาล ศรีลังกา และปากีสถานก็มีแนวโน้มฟื้นตัวด้วย
การเติบโตของเศรษฐกิจโลกตามการประเมินของสถาบันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศข้างต้น ดูเหมือนว่าจะไม่พุ่งแรง รวมทั้งยังอาจเผชิญความเสี่ยงตามที่รู้ ๆ กันคือการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ของสหรัฐฯ ที่ทั้งจะดึงดูดการลงทุนกลับประเทศ ลดความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ และที่สำคัญคือพร้อมใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อต่อรองกับประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี อาจมีมุมบวกจากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่พยายามจะยุติสงครามในตะวันออกกลาง และจะหารือกับผู้นำรัสเซีย ซึ่งยังทำให้เกิดความหวังที่จะลดความขัดแย้งกับยูเครนได้ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็หารือกับประธานาธิบดีจีนที่เป็นคู่แข่งขันเชิงยุทธศาสตร์