ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มตึงเครียดขึ้น เมื่อสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีน แต่จีนก็พร้อมจะเข้าสู่สงครามการค้าอีกรอบ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขู่ขึ้นภาษีร้อยละ 100 ต่อสินค้าเทคโนโลยีจากจีน รวมทั้งการนำเข้า rare earth จากจีน เพื่อกดดันจีนให้ยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าดังกล่าว โดยมาตรการขึ้นภาษีจะมีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2568
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุ เมื่อ 12 ตุลาคม 2568 ว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้สหรัฐฯ หากเพิ่มอัตราภาษีต่อสินค้าของจีนจริง พร้อมจะเข้าสู่สงครามการค้าอีกครั้ง หากสหรัฐฯ เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพื่อปกป้องสิทธิของ แต่จีนก็ไม่ต้องการสงครามการค้า และก็กลัวมาตรการของสหรัฐฯ ฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนยังโจมตีสหรัฐฯ ว่ามีนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม และสองมาตรฐาน พร้อมวิจารณ์ว่าสหรัฐฯ เองก็มีนโยบายควบคุมการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ดังนั้น จีนก็ควรมีสิทธิที่จะควบคุมการส่งออกสินค้าเช่นเดียวกัน
สื่อมวลชนต่างประเทศเริ่มติดตามแนวทางการใช้นโยบายภาษีเพื่อต่อรองผลประโยชน์ระหว่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากผู้นำสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงท่าทีบ่อยครั้งเมื่อขู่จะใช้มาตรการภาษี จนส่งผลกระทบต่อสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ผันผวนตามท่าทีดังกล่าว โดยมีรายงานว่ากรณีประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศคำขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีนเมื่อ 10 ตุลาคม 2568 ทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำลงอย่างมาก เพราะนักลงทุนวิตกกับสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อ 12 ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการเจรจาประเด็นดังกล่าวกับผู้นำจีน พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมร่วมมือกับจีนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ กับจีนเห็นพ้องที่จะคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเมื่อ พฤษภาคม 2568 โดยสินค้าจีนที่จะนำเข้าสหรัฐฯ จะเผชิญอัตราภาษีตอบโต้เพิ่มร้อยละ 30 ส่วนสินค้าสหรัฐฯ ที่จะนำเข้าไปจีนจะเสียภาษีตอบโต้เพิ่มที่ร้อยละ 10 ระหว่างนี้ ทีมเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศจะเจรจากันอย่างต่อเนื่องเพื่อลดระดับความขัดแย้งและความตึงเครียดในความสัมพันธ์ด้านการค้าที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ของจีนใช้โอกาสนี้ย้ำจุดยืนของประเทศที่ต้องการร่วมมือกับสหรัฐฯ แต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้คำขู่เพื่อบังคับให้ต่างประเทศดำเนินนโยบายตอบสนองผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เพราะจะทำให้ประเทศอื่น ๆ ไม่เชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ เฉพาะอย่างยิ่งจีน ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาการค้าเพื่อทำความเข้าใจและปรับความสัมพันธ์ แต่สหรัฐฯ กลับประกาศนโยบายฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน จะไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความไว้วางใจ ลดคุณค่าของการเจรจาการค้า และทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศไม่แน่นอน จีนจึงต้องการใช้โอกาสนี้เตือนผู้นำสหรัฐฯ ว่าไม่ควรเสี่ยงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน
จีนระบุว่านับตั้งแต่จีนกับสหรัฐฯ เจรจาการค้าที่กรุงมาดริด สเปน สหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการจำกัดทางการค้าต่าง ๆ ต่อจีนอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนในรายชื่อการห้ามส่งออก ส่วนการพบหารือกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับจีนที่มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ว่าจะเกิดขึ้นในห้วงที่ทั้งสองเข้าร่วมประชุมสุดยอด APEC ที่เกาหลีใต้ ในปลาย ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ยังไม่มีการยกเลิก แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันจากจีนเช่นกันว่าผู้นำจีนจะมีการพบกับผู้นำสหรัฐฯ ในห้วงดังกล่าว