![]()

ถ้าพูดถึงประเทศผู้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ ประเทศหนึ่งที่จะลืมไปไม่ได้คือ อินเดีย ที่เป็นทั้งผู้นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์รายใหญ่ พร้อม ๆ กับเป็นผู้ส่งออกที่น่าจับตามองในห้วงที่การนำเข้าอาวุธจากสหรัฐฯ หรือจีน สุ่มเสี่ยงจะถูกตีความเป็นการเลือกข้าง รวมถึงรัสเซียที่ต้องลดการจำหน่ายอาวุธ เนื่องจากสงครามที่ยืดเยื้อกับยูเครน
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่มีศักยภาพ ภายใต้แบรนด์ “Made in India” มีจุดขายที่ราคาจับต้องได้ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับ และมีนโยบายเป็นกลางทางการเมืองที่ชัดเจนท่ามกลางระบบโลกสองขั้ว นอกจากนั้น การมีกลยุทธ์สำคัญคือ การผลิตและพัฒนาร่วมกับประเทศผู้ส่งออก ทำให้สินค้าทางทหารที่อินเดียผลิตขึ้นได้รับความไว้วางใจในแง่คุณภาพจากประเทศผู้นำเข้า ที่มีทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา สินค้ายุทโธปกรณ์ของอินเดียมีทั้งระบบเรดาร์ โดรน ยานยนต์หุ้มเกราะ ปืนประเภทต่าง ๆ และที่น่าสนใจคือ ขีปนาวุธ BrahMos ที่เป็นการพัฒนาร่วมระหว่างอินเดียกับรัสเซีย นอกจากนั้น อินเดียยังพัฒนาระบบอาวุธใหม่ ๆ และนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) มาประยุกต์ใช้ทางทหาร โดยมีปัจจัยบวกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอินเดีย
การพัฒนาขีปนาวุธ BrahMos เป็นความสำเร็จสำคัญของอินเดียอย่างมาก จนสามารถส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ที่มีความตกลงซื้อขายกันเมื่อปี 2565 มูลค่า 375 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียสนใจจะนำเข้าเช่นกัน โดยมีแรงกระตุ้นจากปัญหาทะเลจีนใต้ ที่ทำให้ประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องจัดหาอาวุธเพื่อเสริมสมรรถนะทางทหาร ขีปนาวุธ BrahMos ยังเป็นยุทโธปกรณ์ที่โดนใจลูกค้า เนื่องจากมีการฝึกอบรม การดูแลหลังการขาย กับทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากประเทศผู้นำเข้าที่มองอินเดียเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง ซึ่งการตอบรับอาวุธของอินเดียเป็นปัจจัยบวกสำหรับอินเดียในการเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรทางทหารกับบรรดาประเทศลูกค้าอีกทาง
อาวุธของอินเดียเป็นตัวเลือกที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกามองหามากขึ้น เพื่อทดแทนอาวุธจากจีนและรัสเซีย โดยเฉพาะในห้วงที่การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเข้มข้น ที่ทำให้การนำเข้าอาวุธเป็นส่วนหนึ่งของการถูกมองว่าเป็นการเลือกข้าง ขณะที่สงครามที่ยาวนานระหว่างรัสเซียกับยูเครนกลายเป็นความจำเป็นสำหรับประเทศลูกค้าอาวุธรัสเซีย เฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องเตรียมหาแหล่งนำเข้าอาวุธใหม่เพื่อชดเชยอาวุธจากรัสเซียและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนอาวุธ
ความร่วมมือทางทหารระหว่างอินเดียกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เช่น สิงคโปร์มีความร่วมมือในการฝึกรบทางทะเล เทคโนโลยีเกิดใหม่ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ส่วนฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยไม่เพียงมีความร่วมมือทางทหาร แต่ยังมีการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์จากอินเดีย โดยในการเยือนอินเดียของนาย Sjafrie Sjamsoeddin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย เมื่อปลายพฤศจิกายน 2568 ก็เน้นย้ำถึงความร่วมมือในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของทั้งสองฝ่าย เช่นเดียวกับผู้นำฟิลิปปินส์ที่เยือนอินเดียเมื่อสิงหาคม 2568 ให้ความสำคัญกับการลงทุนและการวิจัยและพัฒนาร่วมด้านการป้องกันประเทศ
แม้ว่าสัดส่วนการตลาดของอาวุธอินเดียในต่างประเทศจะยังห่างไกลอาวุธจากสหรัฐฯ และจีนที่เป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ รวมถึงฝรั่งเศส เยอรมนี และเกาหลีใต้ ที่เป็นแหล่งอาวุธที่มีศักยภาพ แต่อินเดียก็ถือเป็นผู้ส่งออกอาวุธที่มีความโดดเด่น ทั้งคุณภาพอาวุธและความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งน่าจะมีส่วนสนับสนุนการมีอิทธิพลในต่างประเทศของอินเดียอีกทาง โดยรายงานเรื่อง Asia Power Index 2025 ซึ่งเผยแพร่เมื่อปลายพฤศจิกายน 2568 ของสถาบัน Lowy สถาบันคลังสมองของออสเตรเลีย ระบุว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อทวีปเอเชียเป็นอันดับ 3 จากทั้งหมด 27 ประเทศ รองจากสหรัฐฯ และจีน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินเดียได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น มาจากขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ การทหาร และวัฒนธรรมที่พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง
อิทธิพลของอินเดียที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยเอื้อสำหรับการผลักดันความร่วมมือระดับพหุภาคีในกรอบต่าง ๆ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองระดับภูมิภาค ขณะเดียวกัน หลายประเทศก็เลือกจะขยายความร่วมมือกับอินเดีย ที่มีจุดยืนโดดเด่นคือ ความเป็นกลางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เนื่องจากจะเป็นหนึ่งในแนวทางที่แสดงออกถึงการรักษาสมดุลความสัมพันธ์ ความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย และตอบสนองผลประโยชน์แห่งชาติเห็นสำคัญ แม้การดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทำให้เครือข่ายด้านความมั่นคงของอินเดียลดลง และความร่วมมือทางทหารของอินเดียอยู่ในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์มากกว่าจะเป็นการสร้างพันธมิตรทางทหารที่มีความชัดเจน







