Global Gaze ปักษ์แรก ส.ค.68
Global Gaze ปักษ์แรกเดือนสิงหาคม 2568 รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจรอบโลกพร้อมประเมินแนวโน้ม
Global Gaze ปักษ์แรกเดือนสิงหาคม 2568 รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจรอบโลกพร้อมประเมินแนวโน้ม
รอบรั้วอาคเนย์ Intelligence Report by NIA ฉบับปักษ์แรก สิงหาคม 2568
รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมประเมินแนวโน้ม
กองทัพอาระกันกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา เกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศธรรมดา และไทยควรรับมืออย่างไร ติดตามได้ในคลิปนี้ …..
ห้วงที่ผ่านมา ทางการจีนตระหนักดีว่าปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากกลุ่ม “จีนเทา” ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจีนในสายตาประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของพลเมืองจีนเอง ที่มีคนจีนจำนวนไม่น้อยที่ต้องตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงและการค้ามนุษย์ในต่างแดน ทำให้ทางการจีนเร่งกวาดล้างกลุ่มทุนจีนเทาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง จีนผนึกกำลัง เมียนมา กัมพูชา ลาว ปราบ “จีนเทา” ทั่วอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและหลากหลายมิติในการปราบปรามทุนจีนเทา เช่น กดดันทางการทูตและกฎหมาย จีนใช้ช่องทางทางการทูตกดดันรัฐบาลเมียนมา กัมพูชา และลาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการปราบปรามกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ รวมถึงเรียกร้องให้ประเทศในอาเซียน “แสดงความรับผิดชอบ” และจัดการกับการพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นในการจัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดนเหล่านี้ ผลักดันความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน จีนเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งเมียนมา กัมพูชา และลาว รวมถึงไทย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ดำเนิน ปฏิบัติการร่วม และส่งผู้ร้ายข้ามแดน มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมกันเพื่อต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์และการค้ามนุษย์ เห็นได้จากกรณีที่ตำรวจเมียนมาส่งตัวผู้ต้องหาชาวจีนจำนวนมากกลับจีนเพื่อรับโทษตามกฎหมาย รวมถึงการหารือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เพื่อยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชายแดนเมียนมา กัมพูชา และลาว จีนยังผลักดันการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เหล่านี้ในระดับพหุภาคีอย่างความร่วมมือภายใต้ “ศูนย์ความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Integrated Law Enforcement and Security Cooperation Center–LMLECC) ซึ่งจีนก่อตั้งเมื่อปี 2560 มีภารกิจส่งเสริมความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ…
การใช้กลไกเศรษฐกิจนำการเมือง ทำให้จีนได้รับการยอมรับในฐานะพันธมิตรสำคัญด้านการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเป็นคู่ค้า โดยจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative-BRI) ของจีน ทำให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับอนุภูมิภาคขยายตัวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขณะเดียวกัน ความใกล้ชิดทางสังคม วัฒนธรรม และการให้ความช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไขด้านประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน ยิ่งทำให้จีนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศในอนุภูมิภาค แต่ความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่เกิดขึ้น เช่น การค้ามนุษย์อาชญากรรมหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ (call center) การใช้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวกับกัมพูชา และเขตที่ควบคุมโดยกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธในเมียนมาเป็นฐานดำเนินการก่ออาชญากรรม เป็นช่องทางให้กับกลุ่มจีนเทา เพราะเป็นพื้นที่ที่ต้องการเม็ดเงินและการพัฒนา แต่กลับมีการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอและตรวจสอบได้ยาก กลุ่มจีนเทาบางส่วนฉกฉวยโอกาสจากการผลักดันโครงการภายใต้กรอบ BRI และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศรอบบ้านที่เป็นส่วนหนึ่งของ BRI แอบแฝงใช้ประโยชน์เป็นฐานดำเนินการอาชญากรรม เช่น ส่วยโก๊กโก่ ในเมียนมา และเขตเศรษฐกิจพิเศษแขวงบ่อแก้วในลาว รวมถึงเข้าหาและประสานผลประโยชน์กับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในเมียนมา อาชญากรรมจีนเทาในประเทศรอบบ้านมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จุดอันตรายที่สุดคือด้านเมียนมา เนื่องจากค่อนข้างปลอดจากอิทธิพลของรัฐบาลจีน เมื่อเทียบกับลาวและกัมพูชา ทั้งยังเกี่ยวเนื่องกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและชาติพันธุ์ที่ยังคั่งค้าง ทำให้ยากต่อการควบคุมกวาดล้าง จีนให้ความสำคัญอย่างมาก และมุ่งดำเนินการกวาดล้างกลุ่มจีนเทาจนประสบความสำเร็จ เฉพาะอย่างยิ่งขบวนการหลอกลวงทางเทคโนโลยีทั้งในลาวและเมียนมาอย่างแข็งขันมาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงการกวาดล้างอย่างจริงจังในเมียนมาติดชายแดนไทย โดยร่วมมือกับไทยเมื่อปลายมกราคม-กลางกุมภาพันธ์ 2568 รวมทั้งขยายผลการปราบปรามไปยังกัมพูชาและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในลาว เนื่องจากกลุ่มจีนเทาได้บั่นทอนภาพลักษณ์ BRI…
สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ ลาว เมียนมา และกัมพูชาในปัจจุบันทวีความรุนแรงและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอาชญากรรมที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนต่างชาติ อาทิ การพนันออนไลน์ การฉ้อโกงข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และการลักลอบค้ายาเสพติด ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทย ทั้งในมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติของกลุ่มทุนชาวจีน หรือที่เรียกว่ากลุ่มจีนเทา ฉวยโอกาสใช้ประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยเป็นพื้นที่ก่อเหตุ ดำเนินการทั้งการหลอกลวง การจัดหา และการลักลอบนำพาเหยื่อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติไปเป็นแรงงานบังคับ รวมทั้งก่ออาชญากรรมอื่น ๆ เช่น การพนันออนไลน์ การฉ้อโกงข้ามชาติในรูปแบบคอลเซนเตอร์ และการหลอกลวงด้วยวิธีการหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต (Romance scam) ปัจจัยที่ส่งเสริมให้กลุ่มจีนเทาขยายตัวในประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนไทย เช่น 1) อาชญากรชาวจีนย้ายฐานดำเนินการออกนอกประเทศ จากการที่รัฐบาลดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ในประเทศอย่างจริงจัง 2) ผู้ประกอบการกลุ่มจีนเทาส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณชายแดนไทย ที่ต้องปิดไปเพราะการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไปเป็นฐานดำเนินการอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การพนันออนไลน์ และการฉ้อโกงข้ามชาติ และ3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทำให้เข้าถึงเหยื่อได้ง่ายขึ้น ฐานดำเนินการของกลุ่มจีนเทา มีทั้งชายแดนเมียนมา เช่น ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่ระมาด อำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ชายแดนลาว เช่น…
รอบรั้วอาคเนย์ Intelligence Report by NIA ฉบับปักษ์หลัง กรกฎาคม 2568
รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมประเมินแนวโน้ม
Global Gaze ปักษ์หลังเดือนกรกฎาคม 2568 รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจรอบโลกพร้อมประเมินแนวโน้ม
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยเมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 ห้วง 1200-1400 น. มีรายงานว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพกัมพูชาบริเวณใกล้พรมแดน หลังจากมีรายงานว่ากองทัพกัมพูชายิงจรวดรุ่น BM-21 ซึ่งเป็นจรวดหลายลำกล้อง ยิงได้ในระยะ 20 กิโลเมตร เข้าพื้นที่พลเรือนในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ ทำให้มีรายงานประชาชนชาวไทยได้รับบาดเจ็บ 14 ราย และเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 9 ราย เนื่องจากจรวดของกัมพูชาตกใส่ร้านค้าสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมัน รวมทั้งโรงพยาบาลพนมดงรัก ในจังหวัดสุรินทร์ ด้วย ด้านกองทัพกัมพูชายืนยันว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชาจริง แต่ไม่เปิดเผยความเสียหายจากการโจมตีของฝ่ายไทย รวมทั้งยืนยันว่าพื้นที่ปะทะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา อย่างไรก็ดี สื่อต่างประเทศระบุว่ามีการตอบโต้ทางการทหารระหว่างไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ 6 จุด ตามรายงานของไทย ซึ่งอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากการตอบโต้ด้วยวิธีการทางทหาร ไทยและกัมพูชายังตอบโต้ด้วยมาตรการการทูต รวมทั้งยกระดับการปกป้องพลเรือนของตนเอง โดยไทยสั่งให้ประชาชนที่อยู่ในกัมพูชาพิจารณาเดินทางกลับไทยโดยเร็ว เนื่องจากประเมินว่าสถานการณ์มีแนวโน้มจะยืดเยื้อและขยายตัวรุนแรงมากขึ้น สำนักข่าว CNN รายงานว่ากองทัพไทยมีศักยภาพด้านกองกำลังและยุทโธปกรณ์สูงกว่ากัมพูชา รวมทั้งมีจำนวนทหารและอาวุธมากกว่าอย่างน้อย 3 เท่า ตลอดจนยังมียุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากความร่วมมือด้านการทหารที่ใกล้ชิดกับต่างประเทศ…
สื่อมวลชนต่างประเทศสนใจรายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากมีรายงานการยิงตอบโต้ ระหว่างกันเมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 บริเวณฐานทัพของไทยใกล้ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ โดยสื่อต่างประเทศเน้นท่าทีอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ฝ่ายที่ปัจจุบันระบุว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มก่อน และความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยอ้างท่าทีกองทัพไทยว่าฝ่ายกัมพูชาส่งอากาศยานไร้คนขับเข้าใกล้พื้นที่ก่อนส่งทหาร 6 คนพร้อมอาวุธปืน RPG และจรวด BM21 เข้ามาในพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายไทย ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปเพื่อปกป้องตนเอง และตอบโต้กรณีทหารไทยละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งนี้ สื่อรายงานด้วยว่าทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย นอกจากนี้ ไทยได้ประกาศให้ประชาชนในพื้นที่อ่อนไหวอพยพออกจากพื้นที่ สื่อต่างประเทศรายงานสถานการณ์โดยไล่เรียงเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่พฤษภาคม 2568 และมาตรการตอบโต้กันทั้งทางทหาร การปิดพรมแดน และการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา ล่าสุด คือกรณีไทยลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา ด้วยการประกาศเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญ กลับไทย กัมพูชาจึงดำเนินการในระดับเดียวกัน พร้อมทั้งเรียกเจ้าหน้าที่ทูตกัมพูชาทั้งหมดกลับประเทศ สื่อให้ความสนใจกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศที่ขยายตัวในช่วงที่ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ราบรื่น รวมทั้งเป็นปัจจัยส่งผลต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรีไทย ขณะเดียวกัน มุมมองของสื่อต่างประเทศสะท้อนว่าประเด็นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นความท้าทายด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่ากัมพูชาลอบวางกับระเบิดในพื้นที่พรมแดน เสี่ยงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และสนใจรายงานท่าทีสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตผู้นำกัมพูชาที่เผยแพร่ความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดขอให้ชาวกัมพูชาเชื่อมั่นในมาตรการของรัฐบาลและกองทัพ และไม่ตื่นตระหนกกับการปะทะกับไทย