ผู้บริหารภาคเอกชนและนักเศรษฐศาสตร์ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย บมจ.ปตท. สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย ต่างเห็นตรงกันว่าปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567 โดยเฉพาะความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงความขัดแย้งใด ๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจจีน อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ทั้งนี้ ไทยมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก โดยเชิงบวกคือ ไทยอาจกลายเป็นฐานผลิตและตลาดลงทุนใหม่ ส่วนผลเชิงลบคือสินค้าจีนน่าจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดในไทย/ทุ่มราคาแข่งกับสินค้าไทยมากขึ้น และหากความขัดแย้งทั่วโลกรุนแรงขึ้นจะนำไปสู่การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อและการปรับนโยบายการเงินใหม่ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์และฉุดกำลังซื้อประชาชนให้ตกลง รวมถึงไทยมีโอกาสเกิดภาวะ Stagflation หรือภาวะเงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจโตต่ำอีกด้วย