ผลสำรวจด้านสุขภาวะของบริษัทวิจัยการตลาดเอกชนต่าง ๆ ระบุว่าคนไทยให้ความใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) มากขึ้นถึงร้อยละ 79 ถือเป็นสัดส่วนมากเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นทั่วโลก อาทิ ฮ่องกง สเปน สิงคโปร์ สหรัฐฯ ซึ่งให้ความใส่ใจอยู่ที่ร้อยละ 70 ขณะเดียวกันคนไทยยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่จะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีมากถึงร้อยละ 89 โดยอยู่ในอันดับ 3 รองจากฮ่องกงและจีน และมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 75
ทั้งนี้ การหันมาให้ความใส่ใจด้านความเป็นอยู่ที่ดีนั้น ทำให้คนไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการมีมุมมองเชิงบวกต่อจิตใจ ร่างกาย และต่อสังคมมากขึ้น โดยเน้นการปรับเปลี่ยนทัศนคติและการไปร่วมกิจกรรมที่จะทำให้เกิดความสุข อาทิ การออกกำลังกาย การพบปะผู้คนที่เป็นลักษณะรวมกลุ่มผู้มีความสนใจเรื่องเดียวกัน ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่การส่งผลให้ไทยกลายเป็นประเทศเป้าหมายในลำดับต้น ๆ ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางเข้ามาอยู่อาศัยในระยะยาวมากขึ้น