ตามรายงานข่าวสารของสื่อมวลชน และความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียพบว่า กรณีทุนจีนขยายการลงทุนในหลายธุรกิจในไทย เช่น การดำเนินธุรกิจในไทยของ “Temu” แอปพลิเคชันซื้อขายสินค้าของจีน กรณีร้านค้าปลีก/มินิมาร์ทจีนเปิดให้บริการในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น กรณีโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเพื่อคนจีน กรณีโรงงานเหล็กของไทยปิดกิจการ เพราะโรงงานเหล็กของจีนเข้ามาทุ่มตลาด โดยประเด็นที่ได้รับความสนใจจากภาคส่วนต่าง ๆ คือ การเข้ามาทำธุรกิจของทุนจีนที่เป็นแบบทุ่มตลาด ขายตัดราคา และดำเนินธุรกิจเบ็ดเสร็จตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จนทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ส่งผลให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย และเริ่มกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์/แสดงความไม่พอใจที่ไม่มีมาตรการควบคุมทุนจีนในไทยอย่างจริงจัง และไม่มีแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ขณะที่ภาคเอกชนและสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ แสดงความกังวลคล้ายกันว่า สถานการณ์ทุนจีนในไทยทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 15.66 เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีแนวโน้มจะขาดดุลสูงขึ้น