ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าจะสนับสนุนผู้ถือวีซ่า H-1B ให้อยู่ในสหรัฐฯ เพื่อทำงานต่อไป เป็นท่าทีที่สอดคล้องกับความต้องการของบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่ต้องการแรงงานต่างชาติที่ถือวีซ่า H-1B ซึ่งหมายถึงวีซ่าสำหรับผู้ชำนาญงานพิเศษในแขนงต่าง ๆ ผู้ที่มีความสามารถพิเศษ หรือนักวิจัยสัญชาติใดก็ได้ สามารถอยู่ในสหรัฐฯ ได้ตามระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยต้องมีวุฒิปริญญาตรีในสาขาวิชาที่สหรัฐฯ ต้องการ อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทรัมป์แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ส่งสัญญาณว่าจะคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้าทำไปงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เนื่องจากวิตกว่าจะเป็นช่องทางให้ประเทศอื่น ๆ จารกรรมข้อมูลสำคัญจากสหรัฐฯ แต่คาดว่า ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เดินหน้าล็อบบี้ให้รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ สนับสนุนการลงทุนและการจ้างงานในสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเพื่อผลักดันให้สหรัฐฯ ยังสามารถรรักษาบทบาทผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีได้ต่อไป
แม้ว่าการที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะสนับสนุนผู้ถือวีซ่า H-1B จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากประเมินว่า ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ทำนโยบายตามคำแนะนำของนาย Elon Musk บุคคลใกล้ชิดที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ให้ดำเนินนโยบายปฏิรูประบบราชการ เนื่องจากนาย Musk สนับสนุนการรับผู้ถือวีซ่า H-1B นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อผู้อพยพหรือบุคคลต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ ทำให้ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ เสี่ยงขัดแย้งกับสมาชิกพรรครีพับลิกัน ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ ดำเนินนโยบายเข้มงวดต่อการรับชาวต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้น ตามที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ เคยประกาศตอนหาเสียงว่าจะลดจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ โดยทรัมป์วิจารณ์ว่าผู้ที่ถือวีซ่า H-1B ไม่เป็นธรรมต่อแรงงานชาวอเมริกัน
นโยบายรับผู้อพยพและแรงงานต่างชาติ รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติของรัฐบาลชุดใหม่ ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ชาวอเมริกันและทั่วโลกให้ความสนใจ และกำลังจับตามองความพยายามของบริษัทเทคโนโลยี หรือกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “Big Tech Oligarchs” หรือผู้ที่ทรงอิทธิพลจากการพัฒนาเทคโนโลยี น่าจะมีบทบาทต่อการตัดสินใจและกำหนดนนโยบายรับแรงงานต่างชาติของรัฐบาลชุดใหม่ และอาจขัดแย้งกับกลุ่ม “Trumpist Oligarchs” หรือนักธุรกิจผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์ และกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ซึ่งเป็นนักการเมืองในพรรครีพับลิกัน โดยทั้ง 3 กลุ่มนี้อาจแข่งขันกันช่วงชิงอำนาจการเมืองในสหรัฐฯ เข้มข้นมากขึ้น หลังจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์รับตำแหน่ง