ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 3 ม.ค.68 วิจารณ์การทำงานของหน่วยความมั่นคงสำคัญในสหรัฐฯ เชิงลบ ว่าไม่สามารถปกป้องชาวอเมริกันจากเหตุก่อการร้ายได้ พร้อมยืนยันว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีมาตรการเข้มงวดตรวจสอบและคัดกรองคนเข้าเมือง รวมทั้งผู้อพยพมากขึ้น เพื่อความปลอดภัย โดยใช้เหตุการณ์ก่อการร้ายที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เมื่อเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุรถระเบิดหน้าโรงแรม Trump Hotel ที่เมืองลาสเวกัส เป็นตัวอย่างว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันล้มเหลวในการป้องกันชาวอเมริกันจากภัยคุกคามและอันตราย เพราะเปิดพรมแดนต้อรับผู้อพยพ หรือ Open Border’s Policy ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นว่าเป็นนโยบายที่อ่อนแอ และเปิดโอกาสให้ผู้ก่อการร้ายและอาชญากรที่นิยมความรุนแรงเดินทางเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น
ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังวิจารณ์กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และสำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA) ว่าไม่สามารถปกป้องชาวอเมริกันได้จริง และล้มเหลวอย่างมาก เนื่องจากใช้เวลาในการทำงานมากมายไปกับการมุ่งโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง มากกว่าเน้นการปกป้องชาวอเมริกันจากภัยคุกคามภายนอก รวมทั้งความรุนแรงต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เน้นโจมตีไปที่รัฐบาลชุดปัจจุบันและพรรคเดโมแครต ที่ทำให้การทำงานของหน่วยความมั่นคงในสหรัฐฯ ไม่ถูกต้อง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ตกอยู่ในอันตราย
สำหรับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เมืองนิวออร์ลีนส์ เกิดขึ้นเมื่อ 1 ม.ค.68 คนร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนกลุ่มคนบนถนน Bourbon Street ในช่วงเวลากลางคืน ปัจจุบันมีรายงานผู้เสียชีวิต 14 คน และได้รับบาดเจ็บ 35 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนผู้ก่อเหตุเสียชีวิตหลังจากลงจากรถบรรทุกและปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปัจจุบันสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) สืบสวนเหตุการณ์และระบุว่าเป็นการก่อการร้าย สื่อเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อเหตุ ชื่อ Shamsud-Din Jabbar อายุ 42 ปี สัญชาติอเมริกัน เคยรับราชการทหารในกองทัพสหรัฐฯ ได้รับแรงบันดาลใจในการก่อเหตุจากกลุ่มก่อการร้ายสากล Islamic State เป็นผู้ก่อเหตุเพียงลำพัง ยังไม่พบว่ากรณีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ส่วนเหตุรถระเบิดหน้าโรงแรม Trump Hotel ยังไม่มีรายละเอียด แต่คาดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เมืองนิวออร์ลีนส์
ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์การทำงานของหน่วยความมั่นคงสหรัฐฯ บ่อยครั้ง แต่ก็ยังรับรายงานสถานการณ์สำคัญจากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง คาดว่า ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่บริหารหน่วยความมั่นคงสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถปรับรูปแบบการทำงานได้ตอบสนองนโยบายใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะจะให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรการป้องกันความมั่นคงชายแดน การต่อต้านการก่อการร้าย และการติดตามความเคลื่อนไหวและอิทธิพลของจีนในสหรัฐฯ และต่างประเทศ