ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เมื่อ 20 ม.ค.68 ที่วอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมกับประกาศทิศทางการดำเนินนนโยบายสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ทั้งนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญคือ เศรษฐกิจ การจัดการผู้อพยพ และความร่วมมือของสหรัฐฯ กับนานาชาติ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังประกาศอภัยโทษแก่นักโทษการเมือง ที่มีส่วนร่วมในเหตุบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 2564 จำนวนประมาณ 1,500 คน ด้วยเหตุผลว่าต้องการลดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ทำให้จะมีการปล่อยตัวสมาชิกกลุ่ม Oath Keepers และ Proud Boys ที่ก่อเหตุรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
บรรยากาศพิธีสาบานตนในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาเล็กน้อย เนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่จัดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา เพราะสหรัฐฯ เผชิญอากาศหนาวและพายุหิมะ ไม่สามารถจัดงานด้านนอกได้ ทำให้ผู้สนับสนุนทรัมป์บางส่วนไม่พอใจที่ไม่สามารถมีส่วนร่วมในพิธีสำคัญดังกล่าว ผู้นำต่างประเทศร่วมกันแสดงความยินดีกับนายทรัมป์ รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน อายุ 82 ปี ที่อำลาตำแหน่งพร้อมกับแสดงความชื่นชมทีมงานและคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ผ่านมา พร้อมกับส่งสัญญาณให้ชาวอเมริกันเข้าใจว่า พรรคเดโมแครตพ้นจากตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล แต่ยังพร้อมต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยน์แห่งชาติและชาวอเมริกันต่อไป และก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่ง อดีตประธานาธิบดีไบเดนได้ประกาศอภัยโทษให้กับบุคคลจำนวนมาก ทำให้สื่อตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามปกป้องบุคคลที่อาจถูกประธานาธิบดีทรัมป์ข่มขู่หรือคุกคาม หรือบุคคลที่อาจอยู่ในบัญชีรายชื่อศัตรูทางการเมือง (enemies list) ของประธานธิบดีทรัมป์ เช่น สมาชิกในครอบครัวของอดีตประธานาธิบดีไบเดน นายแพทย์ Anthony Fauci ที่เคยขัดแย้งกับประธานาธิบดีทรัมป์ช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และนาย Mark Milley อดีตเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่วิจารณ์ทรัมป์ว่าเป็นกลุ่มลัทธิชาติ-อำนาจนิยม
ทั่วโลกจับตาการบริหารและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการเข้ารับตำแหน่ง โดยเฉพาะการใช้อำนาจผู้บริหาร (executive orders) เพื่อกำหนดนโยบายโดยไม่ต้องรอให้รัฐสภาสหรัฐฯ พิจารณา เป็นอำนาจทางการเมืองที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้บ่อยครั้งเมื่อดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยแรก โดยเมื่อ 20 ม.ค.68 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารหลายฉบับ เพื่อยกเลิกนโยบายในสมัยอดีตประธานาธิบดีไบเดน จำนวน 78 นโยบาย สั่งให้ทุกหน่วยงานระงับการออกระเบียบใหม่ ๆ เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ทบทวนก่อน รวมทั้งมีแผนการจะใช้อำนาจผู้บริหารเปลี่ยนแปลงนโยบายจัดการผู้อพยพให้เข้มงวด และมีการส่งกลับประเทศมากขึ้น ตลอดจนจะถอนสหรัฐฯ ออกจากความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement) นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดในทันทีด้วย
ส่วนนโยบายต่างประเทศที่น่าสนใจ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวถึงการพบกับผู้รัสเซียเพื่อหาแนวทางยุติสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน และจะเริ่มนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาใน 1 ก.พ.68