ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 1 ก.พ.68 ลงนามในคำสั่งผู้บริหารให้ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อกดดันให้เปลี่ยนแปลงนโยบายให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ตั้งแต่ 4 ก.พ.68 เป็นต้นไป เป้าหมายเพื่อลดการแพร่กระจายของยาเสพติดในสหรัฐฯ และผู้อพยพผิดกฎหมาย แม้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพลังงาน เพระสหรัฐฯ ต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแคนาดา รวมทั้งอาจทำให้เกิดสงครามการค้าระหว่างประเทศ แต่ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่าต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นอันดับแรก
โดยต่อจากนี้ สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าร้อยละ 25 ต่อสินค้าทุกประเภทที่มาจากเม็กซิโก และสินค้าส่วนใหญ่ที่มาจากแคนาดา นอกจากพลังงานที่จะขึ้นภาษีร้อยละ 10 เท่านั้น ส่วนสินค้าจีนจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 10 รวมทั้งยกเลิกข้อกำหนด “de minimis” ที่อนุญาตให้ผู้นำเข้าหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอากรสำหรับการขนส่งที่ส่งไปยังผู้บริโภครายบุคคลและมีมูลค่ารวมต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐด้วย เท่ากับเป็นการอุดช่องโหว่ทางภาษี
ประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเป็นเครื่องมือกดดันให้ประเทศอื่น ๆ ร่วมมือกับสหรัฐฯ หรือดำเนินการตามที่สหรัฐฯ ต้องการ ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก และเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่ยอมรับว่าทำสงครามการค้ากับจีน จนทำให้นานาชาติได้รับผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย เพื่อกดดันให้ยอมรับผู้อพยพกลับภูมิลำเนา และทำสำเร็จด้วย อย่างไรก็ตาม ในกรณีแคนาดา เม็กซิโก และจีน ทั้ง 3 ประเทศระบุว่าจะตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ เช่นกัน โดย นรม.ของแคนาดาประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทุกประเภทร้อยละ 25 มูลค่าประมาณ 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ผู้นำเม็กซิโกระบุว่าพร้อมจะใช้มาตรการตอบโต้ทันที ซึ่งเป็น “แผน B” ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะเม็กซิโกต้องปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ
ขณะที่จีนระบุว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขัดแย้งกับระเบียนขององค์การการค้าโลก (WTO) และไม่สร้างสรรค์ ซึ่งจีนจะยื่นฟ้องร้องและตอบโต้ในระดับที่เท่าเทียมกัน แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียด นอกจากนี้ กต.จีนแสดงความเห็นว่ามาตรการกดดันของสหรัฐฯ จะเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดมากกว่า เพราะสหรัฐฯ ต้องการความร่วมมือจากจีน เพื่อสกัดกั้นการหลั่งไหลของยาเสพติดเข้าไปยังสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความพร้อมที่จะยอมรับว่า นานาชาติอาจจะไม่พอใจและมีการตอบโต้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานสินค้าและการค้าของโลกระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นชาวอเมริกันจะเข้าใจ และมาตรการนี้จะทำให้ชาวอเมริกันมั่งคั่งและแข็งแกร่งที่สุด ทั้งนี้ ในเอกสารของทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่าเป้าหมายการใช้มาตรการขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นไปเพื่อต่อต้านและป้องกันการค้ายาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผู้นำสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือให้บรรลุเป้าหมายด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ แต่หอการค้าสหรัฐฯ คัดค้านการใช้มาตรการขึ้นภาษี เพราะจะกระทบกับราคาสินค้าในประเทศ แต่ก็เห็นด้วยที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และความมั่นคงชายแดนเป็นอันดับแรก