ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 3 ก.พ.68 ประกาศชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก หลังจากได้โทรศัพท์หารือกับผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับเม็กซิโกที่จะส่งทหารจำนวน 10,000 คนไปประจำการบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก เพื่อเข้มงวดตรวจสอบการลักลอบค้ายาเสพติด ขณะที่แคนาดาจะเพิ่มงบประมาณ พร้อมกับส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงประมาณ 10,000 นาย ไปประจำการที่ชายแดน เพื่อการยกระดับความมั่นคงชายแดนแคนาดา-สหรัฐฯ และยุติการลักลอบค้ายาเสพติดไปยังสหรัฐฯ ด้วย โดยเฉพาะเฟนทานิล (Fentanyl) สารสังเคราะห์กลุ่มโอปิออยด์ที่มีฤทธิ์บรรเทาปวด และถูกใช้เป็นสารเสพติดผิดกฎหมายที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าเฮโรอีนหลายเท่า กลายเป็นปัญหายาเสพติดที่รุนแรงในสหรัฐฯ
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 25 ต่อสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา แต่หลังจากการเจรจาเบื้องต้น ที่ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติด ก็ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ เปลี่ยนใจและเลื่อนเวลาใช้มาตรการภาษีดังกล่าวออกไปอีก 30 วัน ซึ่งระหว่างนี้ จนท.ระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งนายมาร์โค รูบิโอ รมว.กต.สหรัฐฯ จะเจรจารายละเอียดความร่วมมือระหว่างกันต่อไป โดยสหรัฐฯ จะร่วมมือกับด้านการสกัดกั้นการลักลอบค้าอาวุธไปยังเม็กซิโกด้วย อย่างไรก็ตาม นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 10 ต่อสินค้าจีนยังไม่เปลี่ยนแปลง และจะเริ่มใช้ใน 4 ก.พ.68
การเปลี่ยนแปลงมาตรการภาษีต่อประเทศคู่ค้าสำคัญทำให้ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ผันผวน รวมทั้งราคาพลังงานในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนวิตกกับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าพลังงานจากแคนาดาก่อนหน้านี้ที่แม้ว่าจะขึ้นที่ร้อยละ 10 แต่คาดว่าการที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังคงจะใช้มาตรการภาษีกดดันแคนาดาต่อไป และมีโอกาสกลับไปประกาศใช้มาตรการภาษีได้ทุกเมื่อ จะทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐฯ ยังไม่ปรับลดลง นอกจากนี้ นักธุรกิจมีมุมมองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบฉับพลันทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศสูงมาก และไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือกดดันประเทศอื่น ๆ เพราะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการชาวอเมริกันเช่นกัน
หลังจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าอาจพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป ทำให้สหภาพยุโรปซึ่งประชุมร่วมกันที่เบลเยียมเมื่อ 3 ก.พ.68 ประกาศว่าจะเตรียมพร้อมรับมือและตอบโต้สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปต้องการเจรจาก่อน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าและผู้ลงทุนสำคัญ
ชาวอเมริกันวิตกว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการขู่เพื่อกดดันให้เจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมือง หรือบังคับใช้จริงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯ แต่จะทำให้สินค้าหลายประเภทราคาสูงขึ้น ได้แก่ รถยนต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อสังหาริมทรัพย์ ผลผลิตทางการเกษตร และน้ำมัน