ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 10 ก.พ.68 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากต่างประเทศ ร้อยละ 25 ซึ่งมาตรการนี้จะใช้กับทุกประเทศ รวมทั้งจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มอีก หากพบว่ามีประเทศใดใช้นโยบายภาษีกีดกันสินค้าจากสหรัฐ โดยจะเผยแพร่รายละเอียดใน 11-12 ก.พ.68 ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ 25 และอะลูมิเนียมร้อยละ 10 จากแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล เมื่อดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรกเมื่อปี 2561 ขณะที่มาตรการใหม่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้และเวียดนาม ที่ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมให้สหรัฐฯ จำนวนมากเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องบิน การผลิตน้ำมันและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ส่วนไทย เมื่อปี 2567 ส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐฯอันดับที่ 11 มูลค่า 1,205.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท
ปัจจุบันผู้นำสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าร้อยละ 10 จากจีน ขณะที่ก่อนหน้านี้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก แต่เลื่อนออกไปก่อน เพื่อให้เวลาแคนาดาและเม็กซิโกแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนจนถึง 1 มี.ค.68 ท่าทีดังกล่าวทำให้นานาชาติไม่มั่นใจว่าผู้นำสหรัฐฯ กำลังขู่เพื่อให้ประเทศคู่ค้ายอมเปลี่ยนแปลงนโยบายตามผลประโยชน์ของสหรัฐฯ หรือไม่ เพราะมีตัวอย่างที่ชัดเจนว่า หากเจรจากับสหรัฐฯ ก็จะสามารถเลี่ยงมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ได้ ปัจจุบันประเทศที่ส่งออกอะลูมิเนียมไปสหรัฐฯ มากที่สุด ได้แก่ แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน รัสเซีย กาตาร์ อินเดีย อาร์เจนตินา บราซิล ออสเตรเลีย เม็กซิโก และเกาหลีใต้ ส่วนไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 18 ตามด้วยจีนที่อันดับ 19 ส่วนประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ มากที่สุด ได้แก่ แคนาดา บราซิล เม็กซิโก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รัสเซีย และเยอรมนี
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ กังวลว่าการขึ้นภาษีจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องใช้เหล็กคุณภาพจากต่างประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงานทั้งรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่ ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการเหล็กและอะลูมิเนียมทั่วโลกคาดว่า ผู้นำสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั้ง 2 ประเภทในห้วง มี.ค.68 เพราะเป็นนโยบายที่เคยดำเนินการมาแล้ว ขณะที่สหภาพยุโรปกำลังเร่งเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าประเภทยารักษาโรค น้ำมัน และเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์เคยระบุไว้ว่าจะขึ้นภาษีด้วย
นักวิเคราะห์เชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์พยายามใช้มาตรการขึ้นภาษีสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้สหรัฐฯ แต่วิตกว่ามาตรการนี้อาจซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อและราคาสินค้าในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การประกาศมาตรการภาษีส่งผลให้ค่าเงินต่างประเทศผันผวนอย่างมาก ส่วนใหญ่อ่อนค่าลง สะท้อนว่าตลาดการเงินยังคงให้ความสำคัญกับท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์มากกว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แท้จริง นอกจากนี้ ราคาทองมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนแบ่งการลงทุนบางส่วนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัย