ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุเมื่อ 19 ก.พ.68 ว่า อาจได้พบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียภายใน ก.พ.68 เพื่อหาแนวทางสร้างสันติภาพในยูเครน พร้อมกันนี้ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวหาประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้งกับรัสเซีย ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นในโอกาสที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ นำโดยนายมาร์โค รูบิโอ รมว.กต.สหรัฐฯ พบหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายรัสเซียครั้งแรก ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย
ผู้นำสหรัฐฯ เชื่อมั่นว่าตนเองมีอำนาจมาพอที่จะยุติสงครามนี้ได้ ตลอดจนย้ำด้วยว่ายูเครนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการหารือเพื่อเจรจายุติสงครามของรัสเซียในยูเครน และเป็นฝ่ายไม่ยอมเข้าร่วมการเจรจา แม้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อกว่า 3 ปี พร้อมกับตั้งข้อสังเกตในเชิงลบต่อผู้นำยูเครนด้วยว่าตั้งใจทำให้สงครามยืดเยื้อ เพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง เพราะยูเครนจะยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ หากยังเผชิญภาวะสงคราม ด้านผู้นำยูเครนยืนยันว่าไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการเจรจาดังกล่าว และจะไม่ยอมรับผลการหารือระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำรัสเซียได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอย่างมาก เนื่องจากท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ร่วมการเจรจากับรัสเซีย อาจทำให้รัสเซียได้โอกาสแสดงให้ประชาคมระหว่างประเทศเห็นว่าไม่ได้รับกระทบทางการทูต แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีทำสงครามในยูเครนก็ตาม รวมทั้งทำให้ทั่วโลกเห็นว่า รัสเซียยังมีอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ โดยตรง ปัจจุบันสื่อมวลลชนรัสเซียยินดีกับการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศได้พบกัน และส่งสัญญาณว่ารัสเซียต้องการสร้างสันติภาพ แตกต่างจากยุโรปและยูเครนที่ไม่เข้าร่วมการเจรจา
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายรัสเซียบางส่วนยังไม่เชื่อมั่นบทบาทของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากมีมุมมองว่าเป็นนักธุรกิจ และไม่สนใจเรื่องสันติภาพ แต่อาจต้องการเจรจากับรัสเซียเพื่อต่อรองผลประโยชน์ด้านการค้าของสหรัฐฯ ด้านนักการเมืองสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกันบางส่วนก็ยังไม่เชื่อใจประธานาธิบดีปูติน เนื่องจากมีมุมมองว่าผู้นำรัสเซียเป็นอาชญากรสงครามและไม่ควรได้รับการให้อภัย นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังใจดำ และกระหายสงครามเหมือนอดีตประธานาธิบดีสตาลินของรัสเซีย
สำหรับความใกล้ชิดของผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย ประธานาธิบดีทรัมป์โทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดีปูตินเมื่อ 12 ก.พ.68 และแนวโน้มทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับรัสเซียก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะจากนั้นไม่นาน รมว.กต.สหรัฐฯ ไปเข้าร่วมการประชุมความมั่นคงที่ชื่อว่า Munich Security Conference ที่เยอรมนี ก็ได้แสดงท่าทีกดดันยุโรปให้ทุ่มเทงบประมาณเพื่อปกป้องความมั่นคงของตัวเองมากขึ้นด้วย