รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเมื่อ 22 มีนาคม 2568 ว่า จะยกเลิกสถานะทางกฎหมายต่อผู้อพยพประเทศในละตินอเมริกา ได้แก่ คิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา รวมประมาณ 530,000 คน ซึ่งเป็นผู้อพยพกลุ่มที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ และได้รับสถานะทางกฎหมายในช่วงรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน ภายใต้โครงการ CHNV ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศละตินอเมริกากลุ่มดังกล่าวสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมายหากพิสูจน์ได้ว่ามีชาวอเมริกันเป็นผู้สนับสนุน (sponsor) มาตรการของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศนี้ จะส่งผลให้ผู้อพยพกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสถูกเนรเทศออกนอกสหรัฐฯ หรือกลายเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ สนับสนุนมาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยให้ความเห็นว่า โดรงการ CHNV ไม่ประสบความสำเร็จ และทำให้ผู้อพยพเข้าไปแย่งงานชาวอเมริกัน ซ้ำยังเป็นการบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องช่วยเหลือผู้อพยพที่ถือเอกสารผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิจะมีมาตรการพิจารณาเป็นรายกรณีต่อผู้อพยพบางส่วน ปัจจุบัน ผู้อพยพภายใต้โครงการ CHNV มีหลายเชื้อชาติ ที่สำคัญ ได้แก่ ชาวเวเนซุเอลา 120,700 คน ชาวเฮติ 213,700 คน ชาวคิวบา 110,900 คน และชาวนิการากัวประมาณ 93,000 คน
นอกจากผู้อพยพจากประเทศในละตินอเมริกาแล้ว มีรายงานผู้นำสหรัฐฯ กำลังพิจารณายกเลิกสถานะทางกฎหมายให้ผู้อพยพชาวยูเครนมากกว่า 240,000 คนที่เดินทางไปสหรัฐฯ ในช่วงที่มีสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วย
รัฐบาลสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์ปัจจุบันให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายในสหรัฐฯ อย่างมาก และเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล นอกเหนือจากประเด็นเศรษฐกิจ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือหลักในการเปลี่ยนแปลงแนวทางรับผู้อพยพ ควบคู่กับเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในการจัดการผู้อพยพอย่างเด็ดขาดมากขึ้น
นอกจากนี้ มีรายงานเมื่อ 22 มีนาคม 2568 ว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ เตรียมปิดหน่วยงานและองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิผู้อพยพและผู้สมัครสถานะพลเมืองสหรัฐฯ (green card) เนื่องจากมองว่าบทบทขององค์กรและหน่วยงานดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการผู้อพยพในประเทศ รวมทั้งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สำหรับหน่วยงานที่จะถูกลดบทบาท ได้แก่ สำนักงานให้บริการสมัครสิทธิพลเมือง สำนักงานดูแลศูนย์อพยพ และสำนักงานสิทธิและเสรีภาพพลเรือน ซึ่งสำนักงานเหล่านี้จะรับเรื่องร้องเรียนจากผู้อพยพเกี่ยวกับกระบวนการขอสิทธิพลเมืองที่อาจจะล่าช้า และรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้อพยพและผู้ติดตาม