บทบาทนำของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการเร่งยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์สหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศและสร้างผลงานให้รัฐบาล ซึ่งตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์รับตำแหน่ง สหรัฐฯ ดำเนินการหลายระดับ ในการส่งสัญญาณให้รัสเซียและยูเครนเข้าสู่กระบวนการเจรจา และมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลาง ที่มีความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่ กรณีประธานาธิบดีทรัมป์พูดคุยกับผู้นำรัสเซียและยูเครน แม้จะยังไม่สามารถทำให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศพบกันได้ แต่ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับข้อเสนอยุติสงครามระหว่างกัน ขณะเดียวกัน สหรัฐ ส่งผู้แทนรัฐบาล คือ นาย Keith Kellogg ไปเจรจากับทั้ง 2 ฝ่าย ควบคู่กับเสนอผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับการเจรจาด้วย
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อ 23 มีนาคม 2568 มีรายงานว่าผู้แทนของสหรัฐฯ และยูเครนจะไปพบหารือกันที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย เพื่อเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง ก่อนที่ผู้แทนของสหรัฐฯ จะไปพบกับผู้แทนฝ่ายรัสเซียใน 24 มีนาคม 2568 การพูดคุยครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประเทศยุโรปอย่างมาก คาดว่าประเด็นสำคัญจะประกอบด้วยข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ทะเลดำ เพื่อลดผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ และอาจเจรจาเพื่อตกลงกันเรื่องห้ามโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานระหว่างกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะยังไม่เจรจากันเรื่องข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ภาคตะวันออกของยูเครน หรือการเจรจาสันติภาพ สื่อตั้งข้อสังเกตว่าการเจรจาเป็นรายประเด็นในลักษณะนี้ (selective concession) จะเป็นประโยชน์ต่อรัสเซียมากกว่ายูเครน เพราะที่ผ่านมา รัสเซียโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนไปแล้วหลายแห่ง ขณะที่ยูเครนเตรียมความพร้อมใช้อากาศบานไร้คนขับโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียในห้วงต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ายูเครนอาจตอบรับข้อตกลงของสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ สนับสนุนด้านการทหารและการเงินแก่ยูเครนต่อไป เนื่องจากในห้วง มีนาคม 2568 รัสเซียเป็นฝ่ายได้เปรียบในปฏิบัติการทหารมากขึ้น โดยสามารถปฏิบัติการรุกคืบในพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน ทั้งแคว้นโดเนสก์ คาร์คีฟ และโอเดสซา ตลอดจนมีรายงานว่ารัสเซียยึดคืนพื้นที่เมือง Kursk จากการควบคุมโดยกองทัพยูเครนได้แล้ว นักวิเคราะห์ประเมินว่าปัจจุบันรัสเซียได้เปรียบเพราะมีจำนวนทหารมากกว่ายูเครน สะท้อนว่าการทำสงครามรูปแบบเดิม (conventional warfare) ยังมีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งครั้งนี้
ท่าทีของรัสเซียจะเป็นความท้าทายสำคัญของสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชื่อมั่นว่าผู้นำรัสเซียต้องการเจรจาสันติภาพ แต่นานาชาติไม่เชื่อ โดยเฉพาะยูเครนและประเทศยุโรป เพราะเชื่อว่าประธานาธิบดีวาลดิมีร์ ปูตินมีเป้าหมายใหญ่มากกว่าการชนะสงคราม คือ การผนวกรวมยูเครนและเอาชนะเนโต เพื่อให้รัสเซียกลับไปเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหมือยยุคสมัยสหภาพโซเวียตรุ่งเรือง ซึ่งประธานาธิบดีปูตินเห็นโอกาสจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งและน่าจะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ เชื่อว่าจะเข้าสู่การเจรจา เพื่อหาโอกาสต่อรองผลประโยชน์ต่อไป