ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ใน 2 เมษายน 2568 เพื่อรักษาดลุการค้าสหรัฐฯ และส่งสัญญาณให้ประเทศคู่ค้าพิจารณาปรับนโยบายการค้าให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาวอเมริกันมากขึ้น โดยประธานาธิบดีทรัมป์เรียกการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าครั้งนี้ว่าเป็น “Liberation Day” ของชาวอเมริกัน เพราะชาวอเมริกาจะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้ที่ทำให้ชาวอเมริกันไม่ต้องอยู่ภายใต้นโยบายที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป และคาดว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอย่างน้อยร้อยละ 10 จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสหรัฐฯ มากขึ้นเกือบ 3 ล้านตำแหน่ง
ผู้นำสหรัฐฯ ยังย้ำว่าจะบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีกับทุกประเทศ แตกต่างจากท่าทีของนาย Kevin Hassett ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าจะใช้มาตรการนี้กับ 10-15 ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ หรือสหรัฐฯ ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมาตรการอุดหนุนราคาสินค้าเพื่อให้ได้เปรียบสินค้าของสหรัฐฯ ส่วนอัตราภาษีนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกผันผวน เพราะวิตกว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ ขณะที่ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกอาจทำให้บรรยากาศสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจรุนแรงและตึงเครียดมากขึ้น หลายประเทศอยู่ระหว่างการเร่งเจรจาให้สหรัฐฯ พิจารณายกเว้นการใช้มาตรการภาษีดังกล่าว โดยเน้นหารือโดยตรงกับผู้นำสหรัฐฯ เช่น กรณีผู้นำสหราชอาณาจักรโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดีทรัมป์และเปิดเผยว่าผลการพูดคุยเป็นเชิงบวก แม้ว่าก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะวิจารณ์นโยบายของผู้นำสหรัฐฯ และประกาศว่าพร้อมจะตอบโต้ด้วยมาตรการในระดับเดียวกัน ปัจจุบันสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ ทำให้ประเทศพันธมิตรใกล้ชิดได้รับผลกระทบด้วย เช่น แคนาดา สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วน
บริษัทและผู้ประกอบการในสหรัฐฯ บางส่วนกังวลว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศตกอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน และอาจทำให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระรายจ่ายในกรณีที่จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อผลิตสินค้าของตน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนมองว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการแข่งขันเพื่อสร้างนวัตกรรมและพัฒนาสินค้าภายในประเทศ