ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อ 13 มิถุนายน 2568 ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งหนังสือถึงประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เพื่อยื่นข้อเสนอ (deal) ลดภาษีตอบโต้ โดยจะเริ่มส่งหนังสือดังกล่าวไปยังประเทศต่าง ๆ ในห้วงสัปดาห์หน้า เพื่อให้ประเทศคู่ค้าพิจารณาข้อเสนอก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้ใน 9 กรกฎาคม 2568 ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่าการส่งหนังสือไปยื่นข้อเสนอนี้จะเป็นโอกาสให้ประเทศคู่ค้าได้ทบทวน หากยินยอมทำตามข้อเสนอของสหรัฐฯ ก็อาจจะไม่ต้องเผชิญมาตรการภาษีในอัตราที่สูงกว่าปกติ หรือสูงกว่าร้อยละ 10 ทั้งนี้ ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์มีขึ้นในห้วงที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่จะเผชิญภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงที่สุด หรือร้อยละ 55 และเพิ่งเจรจากับไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับใช้มาตรการภาษีตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สร้างความสับสน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ๆ ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้เจรจาโดยตรงกับประเทศคู่ค้า แต่ให้ผู้แทนด้านเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ เจรจาแทน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับประเทศคู่ค้าที่เป็นมิตรประเทศหรือเป็นคู่แข่งระหว่างกัน เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศด้วยว่าจะกำหนดอัตราภาษีต่อประเทศต่าง ๆ ในอัตราที่แตกต่างกันอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ถัดไป
การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีตอบโต้และท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะยังเดินหน้าทำสงครามการค้า ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐผันผวน และนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการขึ้นภาษีตอบโต้ใน กรกฎาคม 2568 จะทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 3 ในปี 2569 นอกจากนี้ แม้เป้าหมายของมาตรการภาษีจะทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ เชื่อว่าราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคจะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารกระป๋อง ที่มีแนวโน้มจะเผชิญอัตราภาษีร้อยละ 50 และรถยนต์ เนื่องจากผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 12 มิถุนายน 2568 ว่าจะพิจารณาขึ้นอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ แทน อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนในสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีรถยนต์ทั้งหมด เพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ โดยย้ำว่าต้องการให้รัฐบาลขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากสหราชอาณาจักรเท่านั้น ไม่ใช่รถยนต์และชิ้นส่วนจากแคนาดาและเม็กซิโก
ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์เผชิญกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายหลายเรื่อง ทั้งการใช้อำนาจสั่งการให้กองกำลังป้องกันประเทศ (national guard) และนาวิกโยธินสหรัฐฯ ไปควบคุมมวลชนผู้ประท้วงประเด็นผู้อพยพในเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และการกำหนดมาตรการภาษีตอบโต้ต่อประเทศคู่ค้า