สถานการณ์ความขัดแย้งและการปะทะด้วยยุทโธปกรณ์ทางทหารในภูมิภาคตะวันออกกลางตึงเครียดต่อเนื่อง โดยอิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธเมื่อ 14 มิถุนายน 2568 เพื่อตอบโต้กรณีอิสราเอลปฏิบัติการ Operation Rising Lion โจมตีโรงงานนิวเคลียร์และพื้นที่สำคัญทางการทหารของอิหร่านเมื่อ 13 มิถุนายน 2568 โดยสื่อต่างประเทศรายงานว่า อิหร่านโจมตีอิสราเอลในหลายพื้นที่ ทำให้มีรายงานผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ อิสราเอลเชื่อว่าอิหร่านจะโจมตีอิสราเอลอีกหลายครั้ง จึงเตือนให้ประชาชนระมัดระวังความปลอดภัยและติดตามมาตรการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์ปะทะระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลส่งผลต่อการเดินหน้าของกระบวนการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านประกาศเมื่อ 15 มิถุนายน 2568 ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ที่โอมาน โดยระบุว่าการเจรจาไม่มีประโยชน์ เนื่องจากสหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลให้โจมตีอิหร่าน ด้านสหรัฐฯ ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตี และโน้มน้าวให้อิหร่านเห็นความสำคัญของการเจรจา
นานาชาติวิตกกับสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในตะวันออกกลาง รวมทั้งเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งใช้การทูตเป้นกลไกแก้ไขสถานการณ์และควบคุมไม่ให้บานปลาย ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่สนับสนุนให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
อิสราเอลทอยเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการ Operation Rising Lion ที่มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยระบุว่าอิสราเอลโจมตีพื้นที่เป้าหมายในอิหร่านประมาณ 40 แห่ง รวมทั้งสถานที่ตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศและระบบสั่งการของฐานทัพอากาศ ตลอดจนสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่านได้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์อิสลาม (Iranian Revolutionary Guard Corps-IRGC) ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าชาวอิสราเอลส่วนใหญ่สนับสนุนการโจมตีเพื่อทำลายขีดความสามารถทางการทหารของอิหร่าน แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับรัฐบาลอิสราเอล คือ แนวทางยุติความขัดแย้งครั้งนี้ เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ต้องการให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายและยืดเยื้อเหมือนสงครามในฉนวนกาซา เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความปลอดภัยของชาวอิสราเอลทั่วโลก
การตอบโต้ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลครั้งนี้เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างทั้ง 2 ประเทศที่หวาดระแวงกันมานานในมิติประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม และอุดมการณ์ ประกอบกับมีรายงานที่ทำให้อิสราเอลกังวลว่าอิหร่านจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าปัจจุบันทั้ง 2 จะตอบโต้กันด้วยยุทโธปกรณ์ทางการทหารแล้ว แต่ความขัดแย้งและความรุนแรงมีแนวโน้มขยายตัว เฉพาะอย่างยิ่งหากมหาอำนาจระดับโลกและระดับภูมิภาค แทรกแซงและมีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้ด้วย
สำหรับฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ 1) สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลด้วยการโจมตีอิหร่าน มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเพราะสหรัฐฯ ไม่พร้อมทำสงครามระยะยาวในต่างประเทศ 2) กลุ่มประเทศรอบอ่าวแสดงบทบาทเพื่อป้องปรามอันตรายจากอิหร่าน มีโอกาสเกิดขึ้นปานกลาง เฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดอุบัติเหตุทางการทหารระหว่างที่อิหร่านและอิสราเอลตอบโต้กัน 3) อิสราเอลล้มเหลวในการทำลายขีดความสามารถของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ สถานการณ์นี้อาจทำให้อิหร่านตอบโต้อิสราเอลอย่างแข็งกร้าวมากขึ้น ทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคระยะยาว 4) เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกชะงักเพราะราคาน้ำมันและพลังงานจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แม้ทำให้ทั่วโลกต้องประสบปัญหาราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคปรับเพิ่มขึ้น แต่เป็นโอกาสให้รัสเซียขายน้ำมันและพลังงานได้มากขึ้น และ 5) อิสราเอลประสบควมาสำเร็จในการโค่นล้มระบอบการปกครองของอิหร่าน จากการโจมตีครั้งนี้ เนื่องจากอิสราเอลตั้งใจและมุ่งมั่นสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงและบุคคลสำคัญ แต่ฉากทัศน์นี้อาจเป็นไปได้น้อย เพราะแม้ว่าหลายประเทศต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอิหร่าน แต่ก็ไม่ต้องการให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพราะเสี่ยงถูกต่างชาติแทรกแซงและควบคุมได้ยากกว่าผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองในปัจจุบัน