สถานการณ์การตอบโต้ทางการทหารระหว่างอิสราเอล-อิหร่านตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อ 19 มิถุนายน 2568 มีรายงานว่าอิสราเอลโจมตีสำนักงานใหญ่หน่วยงานความมั่นคงภายในของอิหร่าน ที่กรุงเตหะราน พร้อมกับที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธ สถานการณ์ที่รุนแรงและเสี่ยงขยายตัว เนื่องจากผู้นำของทั้ง 2 ฝ่ายยังมุ่งมั่นใช้กลไกด้านการทหารเพื่อปกป้องประเทศ
อิสราเอลประกาศเตือนให้ชาวอิหร่านอพยพออกจากเมือง Arak และ Khondab ทางภาคตะวันตกของอิหร่าน เนื่องจากอิสราเอลเตรียมพร้อมจะโจมตีในพื้นที่ดังกล่าว และยืนยันว่าอิสราเอลจะเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีอิหร่านต่อไป เน้นโจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการทหารและที่ตั้งกองทัพอิหร่าน ด้านอิหร่านระบุว่าได้ใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศทั่วประเทศแล้ว และยังพร้อมใช้มาตรการทางการทูตแก้ไขปัญหา แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยการโจมตี เพื่อปกป้องตนองจากภัยคุกคาม
การโจมตีที่เกิดขึ้นนี้ อิหร่านใช้ขีปนาวุธเป็นอาวุธหลัก เช่น ขีปนาวุธรุ่น Sejjil-2 หรือขีปนาวุธพิสัยกลางที่อิหร่านออกแบบและผลิตเอง ส่วนอิสราเอลใช้เครื่องบินรบและอากาศยานไร้คนขับเป็นเครื่องมือในการโจมตีอิหร่าน ทั้งนี้ ปฏิบัติการของอิสราเอลได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศที่มีมุมมองว่าแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์อิสลาม (IRGC) ได้ สะท้อนว่าหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่และที่ตั้งสำคัญทางการทหารของอิหร่านได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าปัจจุบันอิหร่านเร่งปราบปรามและสกัดกั้นความพยายามของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล รวมทั้งสายลับอิสราเอลที่อยู่ในอิหร่าน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของหน่วยข่าวกรองอิสราเอลในอิหร่าน จะทำให้อิหร่านเสียเปรียบมากขึ้น
การตอบโต้ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ทำให้นานาชาติอพยพประชาชนออกจากทั้ง 2 พื้นที่ ตลอดจนประกาศพร้อมให้ความช่วยเหลือพลเรือนของตนเองที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ความขัดแย้ง ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยย้ำว่าสหรัฐฯ อยู่เคียงข้างอิสราเอล พร้อมกับเสนอให้ผู้นำอิหร่านประกาศยอมแพ้ เพื่อลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ย้ำว่าสหรัฐฯ จะยังไม่ตัดสินใจแทรกแซงหรือโจมตีอิหร่านเพื่อช่วยอิสราเอล แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือก (option) ที่สหรัฐฯ กำลังพิจารณาเพื่อยุติความขัดแย้งและความรุนแรงครั้งนี้
นักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้นำสหรัฐฯ กำลังเผชิญทางเลือกที่ตัดสินใจยาก เพราะประธานาธิบดีทรัมป์พยายามทำให้สหรัฐฯ อยู่ห่างจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่สถานการณ์ล่าสุดทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องแสดงบทบาทมากขึ้น ทั้งนี้ สื่อต่างประเทศจับตามองบุคคลใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายของสหรัฐฯ ต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้แก่ รองประธานาธิบดี J.D Vance ของสหรัฐฯ นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ นาย Tulsi Gabbard ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ และนาย Steve Witkoff ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการตะวันออกกลาง และนาย Mike Huckabee ออท.สหรัฐฯ ประจำอิสราเอล รวมทั้งนาย Tucker Carlson และนาย Mark Levin ผู้จัดรายการวิจารณ์การเมืองสายอนุรักษ์นิยม ซึ่งเข้าพบกับประธานาธิบดีทรัมป์บ่อยครั้ง
—————————