ห้วงปลายมิถุนายน 2568 รัฐบาลลาวอนุมัติโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 13 ใต้ (R13 ใต้) มูลค่ากว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ช่วงกิโลเมตรที่ 21 ถึงกิโลเมตรที่ 71 เชื่อมระหว่างนครหลวงเวียงจันทน์ – แขวงบอลิคำไซ (ตรงข้าม จ.บึงกาฬ) เป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้า การเชื่อมโยงภูมิภาค และความปลอดภัยบนถนน โดยจะขยายช่องจราจรจาก 2 ช่องทางเป็น 4 ช่องทาง (ระยะทาง 20 กม.) ส่วนที่เหลือเน้นการซ่อมแซมตามมาตรฐานสากล พร้อมลาดยางมะตอย สามารถรองรับน้ำหนัก 11 ตัน
โครงการดังกล่าวเป็นสัญญาร่วมทุนระหว่าง บริษัท Road No.8 Construction Enterprises กับบริษัท Somxay Chalern Construction Road and Bridge Sole ภายใต้การกำกับดูแลของกรมทางหลวง กระทรวงโยธาธิการและขนส่งลาว โดยได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank-AIIB) จำนวน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกองทุนอาบูดาบีเพื่อการพัฒนา (Abu Dhabi Fund for Development-ADFD) จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือมาจากการระดมทุนของรัฐบาลลาว คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี และจะมีระยะเวลาบำรุงรักษา 7 ปี
การปรับปรุงถนน R13 ใต้ ครั้งนี้ จะเชื่อมโยงกับการปรับปรุงถนน R13 ใต้ จากกิโลเมตรที่ 71 ในแขวงบอลิคำไซ ไปจนถึงกิโลเมตรที่ 346 ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน (ตรงข้าม จ.นครพนม) ทั้งหมดนี้เป็นโครงการปรับปรุงและบำรุงรักษาถนนหมายเลข 13 ใต้ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง และเสริมสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ เนื่องจาก ถนน R13 ใต้ เป็นทางหลวงที่สำคัญที่สุดในลาว เชื่อมต่อเวียงจันทน์กับจังหวัดทางใต้และประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ยังให้การเข้าถึงจังหวัดทางภาคเหนือผ่านแขวงไซสมบูนไปยังแขวงเชียงขวางและหัวพัน (ติดเวียดนาม) อีกด้วย
การปรับปรุงถนนครั้งนี้สอดคล้องกับมติของสภาแห่งชาติของลาว เมื่อ 16 มิถุนายน 2568 ที่อนุมัตินโยบายใหม่เกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการก่อสร้างและซ่อมแซมถนนทั่วประเทศ นโยบายดังกล่าวเสนอมาตรการจูงใจทางภาษี รวมถึงการลดต้นทุน โดยส่งเสริมการใช้วัสดุท้องถิ่น ลดการพึ่งพาการนำเข้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างถนนได้ถึงร้อยละ 17.43
ทั้งนี้ สภาแห่งชาติอนุมัติโครงการนำร่องเพื่อยกระดับเส้นทางสายหลักในประเทศซึ่งก็คือ ถนน R13 ทั้งนี้ เมื่อแล้วเสร็จ รัฐบาลอาจพิจารณาติดตั้งระบบเก็บค่าผ่านทางในบางเส้นทางเพื่อเก็บค่าธรรมเนียมการใช้งานที่เหมาะสมและสร้างรายได้สำหรับการบำรุงรักษาถนนในอนาคต ซึ่งภายใต้นโยบายใหม่นี้ ลาวมุ่งมั่นที่จะดึงดูดความช่วยเหลือจากต่างประเทศและภาคเอกชน มุ่งมั่นลดต้นทุนการก่อสร้าง พร้อมทั้งวางรากฐานสำหรับระบบขนส่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืน ที่สำคัญที่สุดลาวจะสามารถเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งที่เป็นประเทศที่ไม่ติดทะเล ตามหลักการ connectivity ของอาเซียน