การประชุมสุดยอดเนโต ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ระหว่าง 24-25 มิถุนายน 2568 เป็นการประชุมประจำปีที่มีการหารือประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศที่สำคัญ นาย Mark Rutte เลขาธิการเนโตระบุเมื่อ 23 มิถุนายน 2568 คาดหวังให้การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีการหารือและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เรื่องความท้าทายด้านความมั่นคงในยุคใหม่ โดยมีมุมมองว่าโลกเผชิญอันตรายมากกว่าที่ผ่านมา และมีภัยคุกคามหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น ผู้นำประเทศต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้ และร่วมกันทำให้ความร่วมมือในกรอบเนโตเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งต่อไป
การประชุมสุดยอดเนโตครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสมาชิกเนโตจะต้องอนุมัติ New Defence Investment Plan ซึ่งจะให้ประเทศสมาชิกจัดสรรรายจ่ายเพื่อสนับสนุนเนโตร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมทั้งร่วมมือกันกระตุ้นและส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธในกลุ่มประเทศเนโต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งการเสริมสร้างความมั่นคงทางการทหาร และเศรษฐกิจ
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ยังจะหารือกันเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือยูเครน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซีย และการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรนอกเนโตและประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เฉพาะอย่างยิ่งประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพราะเนโตตระหนักถึงความท้าทายด้านความมั่นคงและการทหารจากความเคลื่อนไหวและขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งปัจจุบันมี 4 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก เป็นพันธมิตรหลักนอกเนโต ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการพบหารือกับผู้นำทั้ง 4 ประเทศ ในห้วงการประชุมสุดยอดเนโต แต่ในชั้นนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยืนยันว่าไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมประชุมได้
ประเด็นสำคัญนอกจากความร่วมมือภายในและภายนอกกลุ่ม เนโตมีแนวโน้มต้องการเพิ่มงบประมาณลงทุนในอุตสาหกรรมอาวุธด้วย เพื่อสนับสนุนให้เนโตมีขีดความสามารถในการป้องกันและป้องปรามภัยคุกคามด้านการทหาร ซึ่งประเด็นนี้ เลขาธิการเนโตย้ำชัดเจนว่าต้องการให้เนโตเพิ่มจำนวนคลังอาวุธและยุทโธปกรณ์สำคัญ เพื่อเสริมแสนยานุภาพในการสู้รบทั้งในอากาศและภาคพื้นดิน คาดว่า เนโตจะใข้การประชุมสุดยอด NATO Summit Defence Industry Forum ใน 24 มิถุนายน 2568 เพื่อขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมอาวุธในกลุ่มประเทศสมาชิกด้วย
แม้ว่าการประชุมสุดยอดเนโตในปี 2568 จะมีเป้าหมายสำคัญ แต่นานาชาติกำลังจับตามองว่าการประชุมครั้งนี้จะมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสำคัญหรือสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้หรือไม่ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านกำลังตึงเครียดอย่างมากในตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่านด้วย ทำให้นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าสมาชิกเนโตบางส่วนไม่ไว้วางใจท่าทีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเนโต เนื่องจากสมาชิกเนโตหลายประเทศไม่เห็นด้วยกับกรณีที่สหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีอิหร่าน เพราะอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น เหมือนเมื่อปี 2546 ที่ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสเปน คัดค้านสหรัฐฯ ที่ทำสงครามในอิรัก ทั้งนี้ การที่สมาชิกเนโตมีท่าทีแตกต่างกันต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระดับโลก อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์เอกภาพของกลุ่มพันธมิตรเนโต ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อความร่วมมือในระยะยาว