สภาแห่งชาติเวียดนามมีมติเมื่อ 26 มิถุนายน 2568 ประกาศยกเว้นค่าเล่าเรียนในโรงเรียนของรัฐทุกระดับตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมถึงโครงการศึกษาต่อเนื่อง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา
ปี 2568-2569 เป็นต้นไป ส่วนโรงเรียนเอกชนจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดยเงินอุดหนุนจะถูกกำหนดตามค่าเล่าเรียนจริง (ไม่เกินค่าเล่าเรียนของโรงเรียนรัฐ) และกำหนดโดยหน่วยงานท้องถิ่นตามหลักเกณฑ์ระดับชาติ กลุ่มเป้าหมายจะครอบคลุมพลเมืองเวียดนามและบุคคลเชื้อสายเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศ แม้จะยังไม่ได้รับสัญชาติเต็มตัว สภาแห่งชาติเวียดนามยังอนุมัติแผนการศึกษาปฐมวัยถ้วนหน้าสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปีภายในปี 2573 และมีแผนสนับสนุนค่าอาหารกลางวันฟรีในโรงเรียนประถมและมัธยมในพื้นที่ชายแดนและภูเขา
นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลเวียดนามมีเป้าหมายหลักลดภาระทางการเงินของครอบครัว เฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และส่งเสริมให้เด็กเวียดนามทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของรัฐต่อคนรุ่นใหม่และการลงทุนทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณของรัฐเพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ โดยค่าใช้จ่ายรวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 30.6 ล้านล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับปีการศึกษา 2568-2569 จะมีการจัดสรรงบประมาณเบื้องต้นประมาณ 22.5 ล้านล้านดองเวียดนาม
นโยบายนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาของเวียดนาม และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลเวียดนามถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไป
สู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยและมีรายได้สูง สะท้อนจากนโยบาย 1) การศึกษาคือรากฐาน จากนโยบายเรียนฟรี และการยกระดับคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต 2) การพัฒนาแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยตั้งเป้าหมายที่จะผลิตวิศวกรด้านนี้ให้ได้ถึง 50,000 คนภายในปี 2573 เป็นต้น
พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีแนวคิดหลัก คือ “มนุษย์คือแรงกระตุ้นของการพัฒนา” โดยถือว่าคนเวียดนามคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาและปกป้องประเทศ ทำให้เวียดนามให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการผลักดันความยุติธรรมทางสังคม โดยเฉพาะพัฒนาบุคลากร โดยไม่รอให้เศรษฐกิจพัฒนาเต็มที่ก่อน จึงจะดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ แต่จะทำควบคู่กันไปเพื่อให้การพัฒนามีความยั่งยืนและทั่วถึง โดยสรุปแล้ว เวียดนามมองว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง มีทักษะ และมีความสามารถในการปรับตัว คือกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว