นาย Tom Barrack เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำตุรกี เปิดเผยเมื่อ 19 กรกฎาคม 2568 ว่า ซีเรียและอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว หลังจากทั้ง 2 ประเทศปะทะกันอย่างต่อเนื่องและมีการโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรงในพื้นที่ภูมิภาค Suwayda ทางตอนใต้ของซีเรีย สำหรับข้อตกลงดังกล่าว เป็นผลจากการประสานงานของสหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากตุรกีและจอร์แดน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีท่าทีอย่างเป็นทางการจากซีเรียและอิสราเอล แต่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลให้ความเห็นว่า อิสราเอลเห็นด้วยที่จะเปิดพื้นที่ภูมิภาค Suwayda ให้ชาวซีเรียเดินทางเข้า-ออกได้เป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง หลังจากอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในภูมิภาคดังกล่าว รวมทั้งกระทรวงกกลาโหมของซีเรียในกรุงดามัสกัส เมืองเหลวงของซีเรีย โดยอ้างว่าอิสราเอลโจมตีเพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาว Druze ในภูมิภาค Suwayda ที่มีความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยชาว Bedouin และกองกำลังทหารของรัฐบาลซีเรีย ซึ่งสำหรับอิสราเอล ชาว Druze ในซีเรียที่มีจำนวนประมาณ 700,000 คนในซีเรียถือว่าเป็นพี่น้องของชาวอิสราเอล
ก่อนหน้านี้เมื่อ 16 กรกฎาคม 2568 สหรัฐฯ ตุรกี และประเทศอาหรับประสบความสำเร็จในการผลักดันให้กองกำลังชาว Druze และรัฐบาลซีเรียบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังโจมตีซีเรียอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลซีเรียที่นำโดยรักษาการประธานาธิบดี Ahmed al-Sharaa ของซีเรียออกมาประกาศว่าซีเรียจะปกป้องชาว Druze และไม่ต้องการขัดแย้งกับอิสราเอล ขณะเดียวกันก็พร้อมจะตอบโต้อิสราเอลด้วย
ข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวดังกล่าวมีผลให้กองกำลังติดอาวุธทุกกลุ่มในซีเรียวางอาวุธทันที และร่วมกันสร้างสังคมและการเมืองซีเรียให้มีเอกภาพ มั่นคงและมั่งคั่ง ซึ่งจะมีประเทศเพื่อนบ้านและมหาอำนาจติดตามความคืบหน้าและส่งเสริมต่อไป เพื่อให้ซีเรียมีความมั่นคงหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และฟื้นฟูความปลอดภัยในซีเรีย
นักวิเคราะห์ประเมินว่าอิสราเอลอาจหาข้ออ้างและเหตุผลอื่นในการโจมตีทางอากศในซีเรียต่อไป แม้ว่าชาว Druze ได้รับความปลอดภัยจากข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่เชื่อว่าอิสราเอลมีเป้าหมายสำคัญคือการวางกองกำลังและยุทโธปกรณ์ในซีเรีย เพื่อส่งเสริมความมั่นคงและขยายอิทธิพลของอิสราเอลในซีเรียในช่วงที่ซีเรียกำลังฟื้นฟูประเทศ