ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาญี่ปุ่นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2568 เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญทางการเมือง เนื่องจากผลการเลือกตั้ง พรรครัฐบาลผสมระหว่างพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเมโตะ แพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งแรก โดยได้รับเลือก 47 ที่นั่งจากทั้งหมด 248 ที่นั่งในสภาวุฒิสมาชิก ต่ำกว่า 50 ที่นั่งซึ่งเป็นจำนวนที่จะเพียงพอต่อการคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปี ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ หัวหน้าพรรค LDP จะเผชิญความท้าทายทางการเมืองและการกำหนดนนโยบายบริหารประเทศอย่างมาก
การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเป็นการเลือกตั้งใหม่ 125 ที่นั่ง ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์การเมืองญี่ปุ่น เนื่องจากคะแนนนิยมของพรรคโคเมโตะตกต่ำลงอย่างชัดเจนจากการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงโตเกียวก่อนหน้านี้ ขณะที่พรรคซันเซโตะ ซึ่งมีอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่นประกาศว่ายอมรับการตัดสินใจของประชาชน และจะดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าจากต่างประเทศ รวมทั้งเตือนว่าญี่ปุ่นอาจกำลังเผชิญการแทรกแซงจากต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองญี่ปุ่นมีมุมมองว่าพรรค LDP จะต้องปรับตัวและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากชาวญี่ปุ่น เพราะเป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พรรค LDP ได้คะแนนน้อยจนเสียการควบคุมในวุฒิสภา
ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองญี่ปุ่นจับตามองพรรคซันเซโตะ นำโดยนาย Sohei Kamiya ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยได้ 14 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งพรรคดังกล่าวใช้ประโยชน์จากความกังวลของชาวญี่ปุ่นเรื่องเงินเฟ้อและปัญหาจากผู้อพยพเป็นประเด็นหาเสียงตามนโยบาย “Japanese First” ซึ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของชาวญี่ปุ่นเป็นอันดับแรก ตลอดจนตั้งคำถามเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่อพยพเข้าไปอยู่ในญี่ปุ่นจำนวนมาก จนอาจสร้างอิทธิพลและแทรกแซงการเมืองญี่ปุ่น จนทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ว่านโยบายดังกล่าวทำให้ชาวญี่ปุ่นมีแนวคิดเกลียดชังชาวต่างชาติ (xenophobia)