รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน +3 ของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office -AMRO) ประจำกรกฎาคม 2568 ระบุว่า เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 5.6 ในปี 2568 และร้อยละ 5.5 ในปี 2569 โดยเป็นการปรับลดจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโตร้อยละ 6.3 เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว แม้คาดการณ์ตัวเลขจะปรับลดลง แต่การเติบโตเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ยังแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงผลักดันจากการบริโภคของภาคเอกชน และมีปัจจัยเชิงบวก สภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงมีเสถียรภาพ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่ง AMRO คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2568 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 3.3
เช่นเดียวกับรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่า เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 5.6 ในปี 2568 ซึ่งเติบโตสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากเวียดนาม ที่คาดจะเติบโตร้อยละ 6.3 ขณะที่ไทยคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตที่ร้อยละ 1.8) และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 5.8 ในปี 2569 ทั้งนี้ ในห้วงไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เติบโตร้อยละ 5.4 เป็นผลจากความต้องการภายในประเทศเติบโต รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อย่างไรก็ดี การส่งออกสุทธิยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต เนื่องจากการนำเข้าเติบโตแซงหน้าการส่งออก
นักเศรษฐกิจอาวุโสประจำฟิลิปปินส์ของ ADB ระบุว่า ผลกระทบจากการประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่อฟิลิปปินส์นั้น ประเมินแล้วจะไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ได้รับแรงกระตุ้นจากความต้องการภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเรียกเก็บอัตราภาษีตอบโต้ที่ร้อยละ 20 แต่ภายหลังการเจรจา สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ร้อยละ 19
เช่นเดียวกับ รายงานของบริษัท Credit Sight ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Fitch Solutions ระบุว่าภาษีนำเข้าสินค้าฟิลิปปินส์ร้อยละ 19 นั้นต่ำกว่าสินค้าส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ลาว (ร้อยละ 40) กัมพูชา (ร้อยละ 36) มาเลเซีย (ร้อยละ 25) เวียดนาม (ร้อยละ 20 สำหรับการส่งออกทั้งหมด ร้อยละ 46 สำหรับการขนส่งสินค้าต่อเนื่อง) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 10)) รวมถึงฟิลิปปินส์ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก และภาคการส่งออกเองก็มีส่วนสนับสนุน GDP ของประเทศเพียงร้อยละ 13 ของ GDP ทั้งหมดเท่านั้น
แม้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะชะลอตัวลง ตามความไม่แน่นอนของการค้าและการลงทุนของโลก แต่ฟิลิปปินส์ก็มั่นใจว่าจะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับความมั่นใจว่ายังจะสามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานาธิบดีทรัมป์ที่ได้พบกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ 22 กรกฎาคม 2568 ลดอัตราภาษีตอบโต้ให้ฟิลิปปินส์เหลือร้อยละ 19 ซึ่งอยู่ในอัตราเท่ากับอินโดนีเซีย และน้อยกว่าเวียดนามที่ร้อยละ 20 โดยฟิลิปปินส์ประกาศว่าจะขอต่อรองกับสหรัฐฯ อีกครั้งให้เหลือร้อยละ 15