การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับประเทศอาเซียน (U.S.-ASEAN Meeting Summit) ครั้งที่ 13 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียในปลายตุลาคม 2568 น่าจะเป็นสัญญานที่ดีต่ออาเซียนว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในกรอบพหุภาคี คืออาเซียน นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็จะต้องเดินทางมาด้วย เพื่อเข้าร่วมประชุมในกรอบสำคัญ ๆ กับอาเซียน เช่นเดียวกับนักธุรกิจของสหรัฐฯ ก็จะมีการประชุมกับนักธุรกิจของอาเซียนด้วย
แต่สิ่งที่น่าจับตามองในเรื่องนี้คือ หากประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับอาเซียนจริง ก็น่าจะจับตามองถึงการที่สหรัฐฯ จะเพิ่มบทบาทและการเกี่ยวพันกับประเทศในภูมิภาคมากขึ้นจากที่มีอิทธิพลด้านการทหาร แนบแน่นกับหลายประเทศในภูมิภาคนี้ เฉพาะอย่างยิ่งกัมพูชาว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพลิกประวัติศาสตร์เยือนกัมพูชาหรือไม่ เพราะกัมพูชาเปิดความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น เพิ่มความโปร่งใสในการเปิดฐานทัพเรือเรียมให้ต่างประเทศเข้าแวะเทียบท่ามากขึ้น รวมทั้งการเยือนของเรือรบสหรัฐฯ ที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ ในรอบ 8 ปี เมื่อ ธันวาคม 2567 พร้อมผู้บัญชาการกองบัญชาการภาคพื้นอินโดแปซิฟิก (USINDOPACOM) ของสหรัฐฯ
กองทัพกัมพูชายังเพิ่มความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในกรอบการเจรจาในกรอบ Bilateral Defense Dialogue ระหว่างกองทัพกัมพูชากับ USINDOPACOM เมื่อ 24-25 กรกฎาคม 2568 ที่ USINDOPACOM ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกันด้านการทหาร เช่น ด้านวิชาทหาร การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการฝึกซ้อมรบร่วมระหว่างกันภายใต้รหัส Angkor Sentinel อีกด้วย กัมพูชายังชื่นชมประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นระยะ ๆ ในช่วงที่มีความขัดแย้งบริเวณชายแดนกับไทยในห้วงกรกฎาคม 2568 ทั้งในการสนับสนุนให้มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน และเมื่อ 1 สิงหาคม 2568 รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชายังประกาศว่ากัมพูชาจะเสนอให้ประธานาธิบดีทรัมป์สมควรได้รับ Nobel Peace Price
การจะเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับประเทศอาเซียนของประธานาธิบดีทรัมป์ จะทำให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีโอกาสพบและพูดคุยกับสหรัฐฯ ได้มากขึ้นถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ได้รับจากการขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แม้จะได้ลดอัตราภาษีลงมาได้บ้างแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนประกาศว่าได้ส่งเอกสารถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อให้มีการประชุมวาระพิเศษระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนในประเด็นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน หรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับคณะของประธานาธิบดีทรัมป์ก็น่าจะเพิ่มการลงทุนในอาเซียนมากขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ กำลังสนใจธุรกิจดาตาเซ็นเตอร์ หรือนักธุรกิจในอาเซียนอาจได้โอกาสไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น
การเดินทางเยือนเอเชีย และเข้าร่วมประชุมสุดยอดกับอาเซียนของประธานาธิบดีทรัมป์ในตุลาคม-พฤศจิกายน 2568 จะเป็นจุดสนใจในเวทีโลก และจะสะท้อนความสำคัญของอาเซียนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น จากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เข้าร่วมการประชุมกับผู้นำอาเซียนในกรอบ U.S.-ASEAN Meeting Summit หลายครั้ง เช่น เมื่อปี 2567ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมประชุมที่ลาว และเมื่อปี 2566 ส่งรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ไปประชุมที่อินโดนีเซีย ขณะที่เมื่อปี 2565 ประธานาธิบดีไบเดนเชิญผู้นำอาเซียนไปประชุม ASEAN-U.S. Special Summit ที่วอชิงตัน ดี.ซี.