โฆษกกองทัพอาระกัน (Arakan Army – AA) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอิทธิพลสูงสุดในเมียนมา ได้ประกาศเมื่อ 11 สิงหาคม 2568 ถึงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะขัดขวางการเลือกตั้งทั่วไป ที่กำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของตน โดยปฏิเสธว่าการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารเมียนมากำลังผลักดันนั้น เป็นหนทางยุติสงครามกลางเมืองได้จริง
กองทัพอาระกันให้เหตุผลว่า การเลือกตั้งที่ขาดการสนับสนุนจากประชาชนจะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ และจะยิ่งเพิ่มความสับสนวุ่นวาย การประกาศนี้สอดคล้องกับท่าทีของกลุ่มอื่น ๆ ทั้งนักการเมืองที่ถูกโค่นล้มในการรัฐประหารและกลุ่มต่อต้านอื่น ๆ ซึ่งมองว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ เป็นเพียงความพยายามของรัฐบาลทหารเมียนมาที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของตนเอง ปัจจุบัน กองทัพอาระกันสามารถควบคุมพื้นที่ได้ถึง 14 จาก 17 เมืองในรัฐยะไข่ และย้ำว่าการเลือกตั้งจะสามารถจัดได้เฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเท่านั้น
กองทัพอาระกัน (AA) เป็นกองกำลังติดอาวุธที่เคลื่อนไหวในรัฐยะไข่ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเรียกร้องการปกครองตนเองและปกป้องสิทธิของชาวยะไข่ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กองทัพอาระกันได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ท้าทายอำนาจของรัฐบาลทหารมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยมีกำลังพลประมาณ 45,000 นาย และมีการฝึกกำลังพลด้วยตนเอง รวมถึงมีรายงานว่ามีการเกณฑ์ทหารจากประชาชนในพื้นที่ที่ควบคุมด้วย
พลเอกอาวุโส มินอองไลง์ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในห้วง ธันวาคม 2568 หรือ มกราคม 2569 ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่ชัดเจนครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐประหาร ก่อนหน้านี้ เตรียมการเลือกตั้ง ทั้งการเร่งสำรวจสำมะโนประชากรตั้งแต่ห้วงปลายปี 2567 เพื่อเตรียมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ รวมถึงการประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินหลังจากประกาศใช้มาเป็นเวลานานกว่า 4 ปี และการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจากแบบเดิมเป็น ระบบสัดส่วน (Proportional Representation – PR) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองขนาดเล็กที่สนับสนุนกองทัพ ปัจจุบันพรรคการเมือง 53 พรรคที่ยื่นรายชื่อเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้งเมียนมาที่จะเกิดขึ้นนี้
ภายหลังการประกาศ มีกระแสตอบรับที่หลากหลาย รัฐบาลจีนได้แสดงการสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาและแผนการเลือกตั้ง ขณะที่ กลุ่มต่อต้านทั้งขบวนการปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ และกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธหลายกลุ่มต่างประกาศว่าจะขัดขวางและไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง โดยมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นเพียงความพยายามสร้างความชอบธรรมของกองทัพ นอกจากนี้ มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในหลายพื้นที่เพื่อควบคุมความไม่สงบ ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ด้านนักวิชาการนานาชาติมองว่า การเลือกตั้งภายใต้การควบคุมของกองทัพจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น