ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ประกาศคำสั่ง เมื่อต้นสิงหาคม 2568 ระงับการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศชั่วคราวเป็นเวลา 60 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน – 30 ตุลาคม 2568 เป้าหมายสำคัญเพื่อปกป้องชาวนาท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการที่ราคาข้าวเปลือก ตกต่ำลงอย่างมากในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวปัจจุบัน โดยราคาข้าวเปลือกในบางพื้นที่ลดลงต่ำกว่าต้นทุนการผลิตสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรฟิลิปปินส์อย่างมาก อย่างไรก็ดี มาตรการระงับการนำเข้าข้าวชั่วคราวจะมีผลครอบคลุมเฉพาะข้าวขัดสีทั่วไป และข้าวขัดสีคุณภาพดี ขณะที่ข้าวบาสมาติและข้าวไรซ์เบอร์รี่ รวมถึงข้าวพิเศษชนิดอื่น ๆ จะได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในข่ายการระงับนำเข้า
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์อนุมัติคำสั่งดังกล่าวตามข้อเสนอแนะของกระทวงเกษตรฟิลิปปินส์ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวฟิลิปปินส์ลดลงมาจากหลายปัจจัย อาทิ ข้าวจากต่างประเทศราคาถูกไหลเข้าตลาด เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลกและการนำเข้าข้าวในปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวจากประเทศคู่ค้าอย่างเวียดนามและไทย ซึ่งมีราคาถูกกว่าต้นทุนการผลิตของชาวนาฟิลิปปินส์ ทำให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำลงอย่างมาก การลดภาษีนำเข้าข้าว เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดราคาข้าวสำหรับผู้บริโภค รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ลดภาษีนำเข้าข้าวจากเดิม ร้อยละ 35 ลงเหลือ ร้อยละ 15 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2567 มาตรการนี้ทำให้ข้าวจากต่างประเทศยิ่งมีราคาถูกลงและเข้ามาในตลาดฟิลิปปินส์ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศลดลงตามไปด้วย
ผลผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง มกราคม-มิถุนายนของปี 2568 ฟิลิปปินส์มีการผลิตข้าวเปลือกได้ในปริมาณสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9.08 ล้านตัน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มปริมาณข้าวในตลาดและกดดันให้ราคาลดลง รวมถึง โครงการข้าวราคาถูกของรัฐบาล แม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการข้าว 20 เปโซต่อกิโลกรัมเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค แต่ผู้ค้ารายย่อยบางรายอ้างว่าโครงการนี้ทำให้พวกเขาต้องกดราคาข้าวเปลือกจากชาวนาเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับข้าวราคาถูกของรัฐบาลได้ ทั้งนี้ เครือข่ายผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมข้าวฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า การลดปริมาณการนำเข้าข้าวจะทำให้ตลาดต้องพึ่งพาผลผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นและคาดว่าราคาขายปลีกข้าวจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 – 2 เปโซ ต่อกิโลกรัม (ประมาณ 0.5-1 บาท)
มาตรการระงับนำเข้าข้าวจากต่างประเทศของฟิลิปปินส์จะบังคับใช้เบื้องต้น 2 เดือน มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของทั้งไทย (ผู้ส่งออกข้าวลำดับ 2 ของโลก) แต่คาดจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับเวียดนาม เพราะไทยส่งออกข้าวไปฟิลิปปินส์เพียงร้อยละ3-7 ของข้าวที่ไทยส่งออกทั้งหมด แต่การที่ผู้นำเข้าข้าวรายอื่น อาทิ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มผลิตข้าวได้เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ความต้องการโลกลดลง ทั้งยังทำให้หลายประเทศมีแนวโน้มปรับใช้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมข้าวท้องถิ่นมากขึ้น ไทยยังต้องประเมินสถานการณ์เพื่อปรับแผนรับมือเฉพาะหน้า ควบคู่กับการรักษาตลาดส่งออกข้าวเดิมที่มีความต้องการสูง เช่น อินโดนีเซีย
กลุ่มประเทศแอฟริกา และสหรัฐฯ รวมถึงส่งเสริมตลาดส่งออกที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เช่น จีน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มความหลากหลายตลาดส่งออกข้าว