อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในสหรัฐฯ กำลังเผชิญความท้าทาย โดยเมื่อ 2 กันยายน 2568 บริษัทจัดทำข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ในห้วง 6 เดือนแรกของปี 2568 พบว่ามีจำนวนลดลง ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ท่องเที่ยวในประเทศก็ลดน้อยลงด้วย โดยเหตุผลเพราะสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ชาวอเมริกันจำนวนมากให้เหตุผลกับบริษัท Travel Weekly ผู้สำรวจความเห็นของนักท่องเที่ยวในประเทศว่า ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะตลาดแรงงานซบเซา และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เหตุผลว่านโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกกังวลและไม่สบายใจ เฉพาะอย่างยิ่งนโยบายต่อผู้อพยพและชาวต่างชาติ การควบคุมตัวชาวต่างชาติและส่งตัวกลับ รวมทั้งอุดมการณ์ขวาจัด ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินทางไปสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในสหรัฐฯ มีความคิดเห็นสอดคล้องกับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากที่กังวลกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างไม่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติ และผู้นำสหรัฐฯ ที่มักจะใช้วิธีการข่มขู่ประเทศอื่น ๆ เช่น กรณีประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าจะผนวกแคนาดาเป็นรัฐของสหรัฐฯ การขู่ว่าจะซื้อกรีนแลนด์ รวมทั้งการมีท่าทีประนีประนอมต่อผู้นำรัสเซียในประเด็นความมั่นคงและสถานการณ์ในยูเครน ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ และ “แบรนด์” ของสหรัฐฯ จนทำให้ไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
บริษัท HotelPlanner ผู้ให้บริการจองที่พักในสหรัฐฯ เปิดเผยว่ายอดการจองที่พักในสหรัฐฯ ลดลง จากข้อมูลของ US Travel Association พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงประมาณร้อยละ 14 เมื่อห้วงต้นปี 2568 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแคนาดา และหากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ ยังลดลงต่อเนื่องในระดับนี้ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากถึง 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มาตรการคัดกรองผู้อพยพและเสริมสร้างความมั่นคงภายในประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐบาล อาจทำให้สหรัฐฯ สามารถป้องกันประเทศจากอาชญากรรมข้ามชาติและผู้ก่อการร้ายได้ แต่มาตรการที่เข้มงวด ประกอบกับอุดมการณ์ขวาจัดของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ชาวต่างชาติต้องเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปสหรัฐฯ มากขึ้น โดยมีรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ที่รณรงค์ให้ชาวต่างชาติเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในยุโรปและแคนาดาแทนสหรัฐฯ และหากต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ ให้เตรียมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไว้เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย