สถานการณ์การเมืองและความรุนแรงในเนปาลยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกติดตาม หลังจากเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่มีความรุนแรงและทำให้รัฐบาลเนปาลไร้เสถียรภาพ ล่าสุดเมื่อ 14 กันยายน 2568 นางซูซิลา การ์กิ อายุ 73 ปี รักษาการนายกรัฐมนตรีเนปาลปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกและเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมยุติการก่อความรุนแรง ตลอดจนให้คำมั่นว่าจะปราบปรามการคอร์รัปชันและการทุจริต ซึ่งเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมาก เฉพาะอย่างยิ่งประชากรกลุ่ม Gen Z ที่เป็นผู้เริ่มต้นการชุมนุมครั้งนี้ ไม่พอใจและรวมตัวกันประท้วงเมื่อต้น กันยายน 2568 จนลุกลามบานปลายเป็นการชุมนุมที่มีเหตุรุนแรง
นางการ์กิ (อายุ 73 ปี/2568) เคยดำรงตำแหน่งประธานผู้พิพากษาศาลสูงสุดเนปาล สาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการเมื่อ 12 กันยายน 2568 จากนั้นได้เข้าพบหารือกับแกนนำผู้ชุมนุม คือ นาย Sudan Gurung รวมทั้งประธานาธิบดี Ramchandra Paudel และผู้บัญชาการทหารบก จนมีมติร่วมกันว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ในห้วง มีนาคม 2569
สำหรับความเสียหายจากการประท้วงในเนปาลครั้งนี้ที่ตึงเครียดและมีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อ 8 กันยายน 2568 เริ่มจากกรณีชาวเนปาลไม่พอใจที่รัฐบาลสั่งห้ามใช้งานสื่อสังคมออนไลน์จำนวน 26 แพลตฟอร์ม จึงรวมตัวกันประท้วงคัดค้านนโยบายดังกล่าว พร้อมทั้งแสดงความไม่พอใจต่อปัญหาเศรษฐกิจและการคอร์รัปชันในประเทศ โดยมีนาย Sudan Gurung ชาวเนปาล อายุ 36 ปี ผู้ก่อตั้ง NGO ชื่อ “Hami Nepal” เป็นผู้สนับสนุนความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม เพื่อให้อำนาจกลับสู่ประชาชนและดำเนินคดีต่อนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย
จากนั้นรัฐบาลใช้มาตรการปราบปราม ทำให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจและก่อความรุนแรงในพื้นที่สาธารณะ รวมทั้งมุ่งโจมตีนักการเมืองเนปาลด้วย เหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองทำให้นายกรัฐมนตรี KP Sharma Oli ลาออกจากตำแหน่งเมื่อ 9 กันยายน 2568 ปัจจุบันมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 คน และได้รับบาดเจ็บจำนวนมากกว่า 2,000 คน นางการ์กิใช้โอกาสแถลงในฐานะผู้นำประเทศครั้งแรกเมื่อ 14 กันยายน 2568 เพื่อไว้อาลัยให้กับครอบครัวของผู้ที่ได้รับความสูญเสีย และประกาศว่าจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียประมาณ 11,330 ดอลลาร์สหรัฐ
องค์กรระหว่างประเทศที่ดำเนินงานด้านปกป้องสิทธิมนุษยชนคาดหวังให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเนปาลราบรื่นและดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจังต่อนักการเมืองที่คอร์รัปชัน โดยองค์กร Amnesty International ให้ความเห็นว่ากระบวนการทางการเมืองต่อจากนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะกำหนดอนาคตการเมืองและสิทธิมนุษยชนในเนปาล ดังนั้น รัฐบาลรักษาการของเนปาลจะเผชิญความท้าทายอย่างมากในการรักษาบรรยากาศทางการเมือง การจัดระเบียบในประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และฟื้นฟูประเทศ หลังเกิดเหตุความรุนแรง เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อแรงงาน การท่องเที่ยว และความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนของเนปาลอย่างมาก