กาตาร์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอาหรับ-อิสลาม (Arab-Islamic Summit) วาระฉุกเฉิน ที่กรุงโดฮา เมื่อ 15 กันยายน 2568 เพื่อหารือแนวทางตอบโต้อิสราเอล กรณีโจมตีสมาชิกระดับสูงของกลุ่มฮะมาสในกาตาร์เมื่อ 9 กันยายน 2568 ส่งผลให้นานาชาติ รวมทั้งประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางวิตกว่าอิสราเอลจะขยายขอบเขตความขัดแย้ง และทำให้ความพยายามในการเจรจาสันติภาพยุติลง ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ และได้รับการแจ้งเตือนจากอิสราเอลก่อนที่จะโจมตี และให้ผู้เกี่ยวข้องแจ้งเตือนกาตาร์ ซึ่งไม่ทันเวลา
การประชุมที่กาตาร์มีผู้นำประเทศและผู้แทนระดับสูงจากกลุ่มสันนิบาตอาหรับ (Arab League) จำนวน 22 ประเทศ และองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation -OIC) จำนวน 57 ประเทศ ผลการประชุม ประเทศสมาชิกกลุ่มอาหรับสนับสนุนกาตาร์ และมีถ้อยแถลงประณามในระดับสูงสุด กรณีอิสราเอลปฏิบัติการทางทหารในกาตาร์ พร้อมระบุว่าท่าทีของอิสราเอลเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงระดับภูมิภาค
แนวโน้มท่าทีของกลุ่มประเทศอาหรับ สมาชิก OIC ที่จะสนับสนุนกาตาร์ต่อไป อาจเป็นรูปแบบการสนับสนุนท่าทีของกาตาร์ในเวทีสหประชาชาติ (UN) และการเพิ่มมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันอิสราเอลให้ยุติการปฏิบัติการทางทหารนอกพื้นที่ฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ เนื่องจากกระทบผลประโยชน์แห่งชาติ อธิปไตย และความปลอดภัยของประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการสันติภาพมากกว่าเข้าร่วมสงครามหรือความขัดแย้ง
ประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมดังกล่าว คือ ผู้แทนตุรกี ซึ่งเข้าร่วมการประชุม ประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกลางเผชิญความท้าทายจากอิสราเอลมากขึ้น โดยระบุว่าอิสราเอลไม่ได้ต้องการแค่กำจัดหรือปราบปรามกลุ่มฮะมาสและชาวปาเลสไตน์ แต่กำลังขยายอิทธิพลและพื้นที่ของอิสราเอลไปยังประเทศอื่น ๆ ดังนั้น เหตุการณ์ที่ภูมิภาคจะเผชิญต่อไปในอนาคต ไม่ใช่ประเด็นการจัดการกับชาวปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ต้องเตรียมรับมือกับการขยายอาณาเขตของอิสราเอลด้วย (Israeli expansionism) เนื่องจากอิสราเอลปฏิบัติการทางทหารยืดเยื้อเพื่อให้บรรลุ 2 วัตถุประสงค์ คือ สร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ (Greater Israel) ควบคู่กับทำให้การเมืองและสังคมของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างซีเรีย มีแนวโน้มจะเป็นเป้าหมายแรกที่อิสราเอลต้องการแทรกแซงหรือขยายอิทธิพล
ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้ประชาคมระหว่างประเทศกดดันให้สหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านความมั่นคง และเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอิสราเอล เคลื่อนไหว เช่น โน้มน้าวอิสราเอลให้ลดระดับความขัดแย้งในพื้นที่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลยังใช้ประโยชน์จากการเยือนอิสราเอล และได้พบหารือกับนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เยรูซาเล็มเมื่อ 15 กันยายน 2568 มีถ้อยแถลงที่สะท้อนว่าการเยือนอิสราเอลของนายรูบิโอครั้งนี้ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะอยู่เคียงข้างอิสราเอล เพื่อเผชิญกับผู้ก่อการร้าย
นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูอิสราเอลยืนยันจะไม่เปลี่ยนนโยบาย เนื่องจากยืนยันว่า รัฐบาลอิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องตนเอง และอิสราเอลพร้อมยอมรับสภาวะถูกนานาชาติคคว่ำบาตรดังนั้น อิสราเอลจะปรับตัวทางด้านเศรษฐกิจ ควบคู่กับสร้างอุตสาหกรรมทหารที่แข็งแกร่งด้วยตนเอง เพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูยังระบุว่าปัจจุบันมี 2 ประเทศที่โฆษณาชวนเชื่อให้ประเทศต่าง ๆ ต่อต้านและเกลียดชังอิสราเอล ได้แก่ จีน และกาตาร์
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับกาตาร์เช่นกัน โดยนายรูบิโอจะเดินทางเยือนการ์ตาใน 16 กันยายน 2568 เพื่อยืนยันการเป็นพันธมิตรระหว่างกัน และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับยืนยันว่าตัวประกันที่กลุ่มฮะมาสจับไว้ ต้องได้รับการปล่อยตัว พร้อมกับต้องมีข้อตกลงเพื่อยุติสงคราม ซึ่งสหรัฐฯ คาดหวังบทบาทในการเจรจา และเป็นตัวกลางในเรื่องนี้ต่อไป