รัฐบาลอิหร่านเมื่อ 29 กันยายน 2568 ระบุว่าไม่พอใจและจะตอบโต้สหประชาชาติ กรณีมีมติเมื่อ 28 กันยายน 2568 คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เนื่องจากเชื่อว่าอิหร่านเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ ไม่ให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการตรวจสอบโครงการพัฒนานิวเคลียร์ และไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งนี้ มติของสหประชาชาติมีขึ้นหลังจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและเยอรมนี ยืนยันว่าอิหร่านไม่ให้ความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อเข้าไปตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ เท่ากับละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ JCPOA หรือ Joint Comprehensive Plan of Action ที่กลุ่มประเทศยุโรปลงนามร่วมกับอิหร่านเมื่อปี 2558 และเป็นข้อตกลงที่ทำให้ทั่วโลกชะลอมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านไว้ ยกเว้นสหรัฐฯ ที่ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวไปเมื่อปี 2561
ที่ผ่านมา นานาชาติชะลอการคว่ำบาตรอิหร่านมาเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยทบทวนข้อมูลจากประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านว่าเป็นอันตรายหรือไม่ โดยเมื่อ 28 สิงหาคม 2568 สหประชาชาติต้องทบทวนมติการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้งตามกำหนดการ และมีรายงานว่าจีนกับรัสเซียพยายามสนับสนุนให้สหประชาชาติยกเว้นหรือชะลอการคว่ำบาตรอิหร่านออกไปแล้ว แต่ไม่เป็นผล
หลังจากนี้ อิหร่านจะเผชิญการคว่ำบาตรอย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ ห้ามค้าอาวุธ ห้ามเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ห้ามกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับขีปนาวุธที่มีศักยภาพในการนำส่งอาวุธนิวเคลียร์ อายัดทรัพย์สินและคำสั่งห้ามเดินทางสำหรับบุคคลและหน่วยงานของอิหร่าน นอกจากนี้ ประเทศต่าง ๆ จะมีสิทธิตรวจสอบสินค้าที่สายการบินและบริษัทเดินเรือของอิหร่านให้บริการด้วย
อิหร่านมีมุมมองว่าการคว่ำบาตรอิหร่านไม่ชอบธรรม เป็นการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่พอใจท่าทีของสหประชาชาติและประเทศยุโรปอย่างมาก โดยประกาศจะระงับความร่วมมือกับทบวงการปรมาณูรหว่างประเทศ (IAEA) ที่เป็นองค์กรภายใต้สหประชาชาติซึ่งเข้าไปตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตลอดจนมีนักวิเคราะห์เชื่อว่านักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมของอิหร่านอาจสนับสนุนให้อิหร่านถอนตัวจากสนธิสัญญานิวเคลียร์ ควบคู่กับเสริมขีดความสามารถด้านการทหารด้วยการเพิ่มความร่วมมือกับจีนและรัสเซีย เพื่อส่งสัญญาณให้นานาชาติเห็นว่าอิหร่านพร้อมจะปกป้องความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศ
อิสราเอลยกระดับการเตือนภัย ภายหลังสหประชาชาติกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง จากความกังวลว่าอิหร่านอาจเร่งพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งพลตรี Mohsen Rezaei เจ้าหน้าที่อาวุโสของอิหร่านและอดีตผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) เตือนเมื่อ 28 กันยายน 2568 ว่า อิหร่านจะเข้าสู่สงครามกับสหรัฐฯ หากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีอิหร่านอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ พลเอก Abdolrahim Mousavi เสนาธิการกองทัพของอิหร่าน กล่าวว่า กองทัพและ IRGC มีความพร้อมเต็มที่ในการรับมือกับภัยคุกคามหรือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
สหรัฐฯ สนับสนุนมติของสหประชาชาติ เนื่องจากเชื่อว่าต้องเพิ่มการกดดันอิหร่านให้ยุติการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ ด้านประเทศสมาชิกยุโรปยืนยันว่ายังคงให้ความสำคัญกับการใช้การทูตและการเจรจาเพื่อร่วมมือกับอิหร่าน หากพร้อมที่จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของนานาชาติ ด้วยการยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์และความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาค