ทั่วโลกให้ความสนใจการกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ กับกาตาร์ โดยมีรายงานเมื่อ 1 ตุลาคม 2568 กรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 29 กันยายน 2568 ที่มีเนื้อหาเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ กับกาตาร์ให้ใกล้ชิดมากขึ้น โดยสหรัฐฯ จะค้ำประกันความมั่นคงให้กาตาร์ หากกาตาร์เผชิญการโจมตี หรือการคุกคามจากปัจจัยภายนอก ก็จะถือว่าเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพของสหรัฐฯ เช่นกัน
คำสั่งผู้บริหารดังกล่าว เป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจด้านการทหารอันดับ 1 ของโลก กับกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความร่วมมือส่งเสริมบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคมาโดยตลอด เพราะกาตาร์เป็นที่ตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ รวมทั้งสนับสนุนนโยบายของสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน คือ การเป็นตัวกลางการเจรจาระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮะมาส
ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศและผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ วางแผนและนโยบายร่วมกับหน่วยงานของกาตาร์ เพื่อปกป้องกาตาร์จากภัยคุกคามและการโจมตีจากต่างชาติ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประสานงานกับกาตาร์อย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาค
คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการส่งสัญญาณให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ จะได้รับการปกป้อง แม้ว่าจะไม่ใช่พันธมิตรในกรอบเนโต พร้อมกับป้องปรามไม่ให้คู่ขัดแย้งของสหรัฐฯ กาตาร์ หรือประเทศใดก็ตามปฏิบัติการทางทหารโจมตีกาตาร์ และเป็นการมอบอำนาจตามกฎหมายของสหรัฐฯ ให้สามารถใช้ทุกเครื่องมือเพื่อปกป้องความมั่นคงของกาตาร์ได้ ทั้งการทูต การทหาร และเศรษฐกิจ เนื่องจากความปลอดภัยของกาตาร์จะเท่ากับความปลอดภัยของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า การเพิ่มความใกล้ชิดด้านความมั่นคงกับกาตาร์ เป็นการส่งสัญญาณของผู้นำสหรัฐฯ ไปยังอิสราเอล ให้ยับยั้งและยกเลิกการปฏิบัติการทางทหารในกาตาร์โดยเด็ดขาด เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อ 9 กันยายน 2568 อิสราเอลขยายปฏิบัติการโจมตีสมาชิกกลุ่มฮะมาสโดยไปโจมตีทางอากาศในกรุงโดฮา กาตาร์ โดยอ้างว่าสมาชิกระดับสูงของกลุ่มฮะมาสอยู่ในกรุงโดฮา เพื่อเจรจาแผนสันติภาพ ทำให้มีชาวกาตาร์เสียชีวิต 1 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตึงเครียดระดับสูง กาตาร์และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางไม่พอใจอย่างมาก เพราะการขยายพื้นที่โจมตีของอิสราเอลเพิ่มคาวมเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งกับหลายประเทศ รวมทั้งไม่เป็นผลดีต่อความพยายามสร้างความมั่นคงในภูมิภาค
กาตาร์ยินดีกับคำสั่งของผู้นำสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ระบุว่าคำสั่งครั้งนี้สะท้อนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยาวนานระหว่าง 2 ประเทศ และกาตาร์พร้อมจะร่วมมือกับสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคต่อไป โดยเน้นมาตรการทางการทูต