นายกรัฐมนตรีเจมส์ มาราเป ของปาปัวนิวกินี แถลงเมื่อ 2 ตุลาคม 2568 ว่า คณะรัฐมนตรีปาปัวนิวกีนีอนุมัติให้ผู้นำเตรียมลงนามสนธิสัญญาป้องกันประเทศร่วมกับออสเตรเลีย (Mutual Defence Treaty) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สนธิสัญญา Pukpuk” (Pukpuk Treaty) โดยสนธิสัญญานี้จะยกระดับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศให้เป็น “พันธมิตรอย่างเป็นทางการ“ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพันธมิตรใหม่ฉบับแรกของออสเตรเลียในรอบกว่า 70 ปี (สนธิสัญญาพันธมิตรอื่น ๆ คือ ANZUS กับสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์) ซึ่งหลังจากนี้ นายกรัฐมนตรีของ
ปาปัวนิวกีนีและออสเตรเลียจะลงนามร่วมกันอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ และรัฐสภาทั้งสองประเทศจะต้องผ่านการให้สัตยาบันจึงจะมีผลบังคับใช้
สนธิสัญญาป้องกันประเทศร่วม หรือ Pukpuk Treaty กำหนดให้ทั้งออสเตรเลียและปาปัวนิวกีนีต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกรณีที่มีการโจมตีทางทหารเกิดขึ้นกับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยสนธิสัญญาดังกล่าวยังเพิ่มการบูรณาการด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และบุคลากรทางทหารระหว่างออสเตรเลีย และปาปัวนิวกีนี ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ชาวปาปัวนิวกีนีมากถึง 10,000 คนสามารถเข้าร่วมกับกองกำลังป้องกันประเทศออสเตรเลีย (Australian Defence Force – ADF) ภายใต้ “ข้อตกลงคู่ขนาน” (dual arrangements) และอาจเป็นช่องทางสู่การได้รับสัญชาติออสเตรเลีย ทั้งนี้ กองทัพปาปัวนิวกีนีจะได้ประโยชน์จากสนธิสัญญานี้ โดยเฉพาะการปรับปรุงขีดความสามารถทางทหารให้ทันสมัย พัฒนากองกำลังสำรองแห่งชาติจำนวน 3,000 นาย โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังพลของตนเองเป็น 7,000 นาย
นักวิเคราะห์เห็นการลงนามสนธิสัญญาครั้งนี้นอกจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับปาปัวนิวกีนี ยังเป็นการยืนยันให้เห็นว่า ปาปัวนิวกีนียังคงต้องการรักษาความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคม นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของออสเตรเลียและพันธมิตรชาติตะวันตก (รวมถึงสหรัฐฯ) ที่จะขยายความร่วมมือด้านกลาโหมกับประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก เป้าหมายก็เพื่อลดอิทธิพลทางความมั่นคงของจีนในภูมิภาคดังกล่าว ก่อนหน้านี้ เมื่อพฤษภาคม 2566 ปาปัวนิวกินีลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหมกับสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ขยายขีดความสามารถทางทหารของสหรัฐฯใน ภูมิภาคแปซิฟิก
การลงนามสนธิสัญญาร่วมกับออสเตรเลียครั้งนี้ ก่อให้เกิดการถกเถียงภายในปาปัวนิวกีนี โดยมีหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจบ่อนทำลายอธิปไตยของประเทศหรือส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกีนี ยังยืนยันว่า ประเทศดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับทุกฝ่ายและไม่เป็นศัตรูกับผู้ใด โดยพยายามสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับจีน และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับพันธมิตรแบบดั้งเดิม (ออสเตรเลียและสหรัฐฯ)