รายงานประจำปีของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ และ Amnesty International (AI) ยืนยันว่า การค้ามนุษย์ในกัมพูชามีความเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยรายงานประจำปีของสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 29 กันยายน 2568 จัดให้กัมพูชาอยู่ในกลุ่มต่ำสุดที่ไม่ได้มาตรฐานในการกวาดล้างการค้ามนุษย์ หรือ Tier 3 ซึ่งกัมพูชาอยู่ในกลุ่มนี้ต่อเนื่องเป็นปี ที่ 4 ทำให้เป็นสัญญาณว่า สหรัฐฯ จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการกดดันกัมพูชา เช่น การให้ความช่วยเหลือ และความร่วมมือ และรุนแรงจนถึงการคว่ำบาตร เป็นต้น
รายงานฯ ของสหรัฐฯ เห็นว่า การค้ามนุษย์ในกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์ นั้น มีเจ้าหน้าที่ของรัฐทำการข่มขู่ เหยื่อ และพยาน รวมทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยการเข้าไปปกป้องการทำธุรกิจนี้ นอกจากนี้ กัมพูชายังไม่มีความคืบหน้าในการใช้นโยบายเกี่ยวกับการกวาดล้างการค้ามนุษย์อย่างชัดเจน ผู้ดำเนินธุรกิจนี้ในกัมพูชามีการกักเหยื่อค้ามนุษย์ไว้ทำงาน หรือหาผลประโยชน์ด้วยให้หลอกลวงเหยื่อทางออนไลน์ พร้อมกับได้รับการเตือนล่วงหน้า หากเจ้าหน้าที่เข้าไปกวาดล้าง หรือหากมีการกวาดล้างได้ ธุรกิจการหลอกลวงทางออนไลน์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ก็กลับไปเปิดใหม่ธุรกิจผิดกฎหมายดังกล่าวได้อีกในไม่นานนัก หลังจากจ่ายค่าปรับ
รายงานของสหรัฐฯ อ้างตัวเลขของ NGOs ว่า มีแรงงานที่เป็นเหยื่อจากการถูกบังคับใช้แรงงานถึง 150,000 ราย ใน 350 แห่ง ทั่วกัมพูชา ซึ่งสถานที่กักตัวเหยื่อค้ามนุษย์มีความเชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางออนไลน์ในกัมพูชา มักย้ายสถานที่การทำธุรกิจไปอยู่บริเวณชายแดน เพื่อให้ยากแก่การถูกตรวจสอบ และยากที่เหยื่อจะหลบหนี เช่น อยู่ในสีหนุวิลล์ ติดชายแดนไทยและลาว
ก่อหน้านี้ เมื่อมิถุนายน 2568 AI ก็ระบุว่า สถานที่ดำเนินธุรกิจการหลอกลวงทางออนไลน์อย่างน้อย 53 แห่ง ในกัมพูชา พบได้บริเวณชายแดน และธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมที่ดำเนินธุรกิจการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก การทรมาน และการค้าทาส ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของ AI ที่ว่ามีส่วนรู้เห็นกับธุรกิจผิดกฎหมายดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทำงานกับ AI ยังให้ข้อมูลอีกว่า นายจ้างของธุรกิจการหลอกลวงทางออนไลน์ต้องการรายได้จากลูกจ้างประมาณ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หากลูกจ้างทำรายได้ไม่ถึงจะถูกทำร้าย และทรมาน