ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีอับดุลฟัตตาห์ อัซซีซี ของอียิปต์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับสถานการณ์ในฉนวนกาซา ที่รีสอร์ท Sharm el-Sheikh ของอียิปต์ใน 13 ตุลาคม 2568 โดยคาดว่าจะมีผู้นำประเทศต่าง ๆ กว่า 20 ประเทศเดินทางไปเข้าร่วมด้วย เพื่อหารือแนวทางยุติสงครามในฉนวนกาซาและฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าวให้มีสันติภาพและเสถียรภาพในระยะยาวต่อไป โดยผู้นำอียิปต์คาดว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อบรรยากาศความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
นาย Antonio Guterres เลขาธิการสหประชาชาติคาดว่าจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย พร้อมกับผู้นำสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่านายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล และผู้แทนของกลุ่มฮะมาส จะเข้าร่วมการประชุมด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ นอกจากนี้ รัฐบาลอิสราเอลอนุมัติข้อตกลงหยุดยิงและแลกเปลี่ยนตัวประกันในฉนวนกาซาระยะที่ 1 เมื่อ 10 ตุลาคม 2568 ภายหลังจากที่ลงนามในอียิปต์เมื่อ 9 ตุลาคม 2568 ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนสันติภาพ 20 ประการ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้เสนอ
อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่าการประชุมครั้งนี้จะเน้นแนวทางการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาที่ได้รับผลกระทบมาอย่างยาวนานจากสงครามที่เริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2566 มากกว่าการแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกแยกระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮะมาส เนื่องจากการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่าชาวปาเลสไตน์จำนวนมากพยายามเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังจากอิสราเอลประกาศหยุดยิง ทำให้พบว่าที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ถูกทำลายและได้รับความเสียหายอย่างมาก ดังนั้น นานาชาติจึงกำลังให้ความสนใจประเด็นการช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ฉนวนกาซา เพื่อบรรเทาทุกข์ให้ชาวปาเลสไตน์
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ในฉนวนกาซารายงานว่า แม้กองทัพอิสราเอลจะยุติปฏิบัติการทางทหารส่วนแรกแล้ว แต่ความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของชาวปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไป เพราะที่ผ่านมา ชาวปาเลสไตน์ถูกบังคับให้อพยพลงใต้เพื่อหลบเลี่ยงสงคราม ปัจจุบันพยายามเดินทางกลับไปภูมิลำเนาในตอนเหนือของฉนวนกาซา แต่กลับพบว่าไม่มีบ้านเรือนหรือโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งาน จึงเรียกร้องต่อนานาชาติให้เร่งเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ควบคู่กับปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาทุกข์หลังเผชิญสงคราม และสนับสนุนการทำงานของกลุ่ม Gaza Civil Defence ของชาวปาเลสไตน์ที่เคลื่อนไหวเพื่อเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตในพื้นที่ ควบคู่กับมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติประเมินว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอาจทำให้ต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานหลายยุคสมัย เพราะได้รับความเสียหายไปมากถึงร้อยละ 92 นอกจากนี้ ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากอาจตกอยู่ในภาวะจิตใจไม่ปกติและเผชิญความหวาดกลัว แม้ว่าจะเดินทางกลับภูมิลำเนาได้แล้ว แต่เห็นความสูญเสีย ตลอดจนปัจจุบัน อิสราเอลยังควบคุมพื้นที่ช่องทางให้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นผลดีและอาจซ้ำเติมวิกฤตด้านความมั่นคงมนุษย์ในฉนวนกาซา