![]()

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 22 ตุลาคม 2568 ประกาศคว่ำบาตรบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ 2 แห่ง ของรัสเซีย ได้แก่ บริษัท Rosneft และบริษัท Lukoil เพื่อกดดันรัสเซียให้เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงและหารือเรื่องความมั่นคงในยูเครน ตามที่ผู้นำสหรัฐฯ เสนอ ประธานาธิบดีทรัมป์คาดหวังว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรนี้เพียงระยะสั้น ๆ เพราะต่อจากนี้รัสเซียจะต้องได้รับผลกระทบอย่างมาก และยอมทบทวนข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ต้องการยุติสงครามในยูเครน และสร้างความมั่นคงระหว่างกัน
สื่อต่างประเทศให้ความสนใจมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวอย่างมาก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คว่ำบาตรรัสเซียโดยตรง และเป็นท่าทีที่มีขึ้นพร้อมกับการส่งสัญญาณว่าผู้นำสหรัฐฯ จะยังไม่มีกำหนดการพบหารือโดยตรงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าที่ผ่านมา ทั้ง 2 ผู้นำประเทศมหาอำนาจนี้จะมีช่องทางสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ได้พบหารือทวิภาคีกันไปที่รัฐอะแลสกา เมื่อ สิงหาคม 2568 รวมทั้งมีข่าวสารว่าทั้ง 2 ฝ่ายอาจพบกันที่กรุงบูดาเปส ฮังการี ในช่วงต้น พฤศจิกายน 2568 ด้วย แต่ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีไม่พอใจผู้นำรัสเซีย เพราะไม่ยอมตอบรับแผนสันติภาพ จึงให้ความเห็นกับสื่อมวลชนว่าไม่ต้องการพบหารือ
กรณีสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรบริษัทพลังงานของรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และอาจทำให้นานาชาติต้องระมัดระวังการค้าขายพลังงานกับรัสเซียมากขึ้น เพราะอาจถูกกดดันจากสหรัฐฯ ไปด้วย นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรบริษัทก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย เพื่อเสริมการกดดันรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ที่ยังซื้อขายก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย โดยเฉพาะจีน ทั้งนี้ ประเทศตะวันตกเลือกที่จะพุ่งเป้าคว่ำบาตรธุรกิจพลังงานรัสเซียเป็นหลัก เนื่องจากธุรกิจพลังงานของรัสเซียเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัฐบาลรัสเซีย ที่ยังคงส่งออกน้ำมันและพลังงานไปต่างประเทศ โดยเฉพาะ 2 บริษัทดังกล่าวที่สหรัฐฯ เปรียบเสมือนเป็น “แหล่งทุนทำสงคราม” ของรัสเซีย
ผู้นำรัสเซียไม่พอใจมาตรการของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่ยืนยันว่ามาตรการของประเทศตะวันตกจะไม่ส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อนโยบายความมั่นคงและการทำสงครามของรัสเซีย แม้ว่าการคว่ำบาตรบริษัท Rosneft และบริษัท Lukoil จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียเล็กน้อย แต่ไม่มีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของรัสเซียที่เข้มแข็งและเตรียมพร้อมจะรับมือกับมาตรการฝ่ายเดียวของประเทศตะวันตกมาโดยตลอด นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียยังวิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ ว่าไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ไม่เป็นผลดีต่อราคาน้ำมันโลก รวมทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดังนั้น จึงเตือนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ทบทวนให้ดีว่ามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเป็นผลดีต่อรัฐบาลสหรัฐฯ หรือไม่
พร้อมกันนี้ ผู้นำรัสเซียยังส่งสัญญาณเตือนสหรัฐฯ และยุโรปให้ยกเลิกการสนับสนุนขีปนาวุธ Tomahawk ให้ยูเครน เพราะรัสเซียจะถือว่าเป็นการยั่วยุทางการทหารและทำให้สงครามตึงเครียดมากขึ้น
ท่าทีของประธานาธิบดีปูตินที่ยังเตือนเรื่องการขยายขอบเขตสงคราม และไม่ต้องการเจรจากับผู้นำสหรัฐฯ สะท้อนว่าการคว่ำบาตรบริษัทพลังงานครั้งล่าสุดนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์และนโยบายของรัสเซียต่อยูเครน สำหรับสาเหตุที่ทำให้รัสเซียอาจรับมือกับการกดดันครั้งนี้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมา รัสเซียเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรปอยู่แล้ว จึงมีการปรับตัวและทำข้อตกลงกับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการซื้อขายน้ำมันกับรัสเซีย เฉพาะอย่างยิ่งจีนและอินเดียที่กลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันและพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย โดยใช้การซื้อขายผ่าน shadow ship หรือ shadow fleet เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากประเทศตะวันตก ซึ่งแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่คุ้มค่าเพราะราคาพลังงานของรัสเซียถูกกว่าการผลิตเองหรือนำเข้าจากแหล่งพลังงานอื่น ๆ นอกจากนี้ประธานิบดีปูตินบอกว่า รัสเซียสามารถหาแหล่งพลังงานจากประเทศอื่น ๆ มาทดแทนได้ เช่น ในแอฟริกา
ดังนั้น มาตรการคว่ำบาตรของรัสเซียครั้งนี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของรัสเซียในการที่จะยุติสงครามกับยูเครนได้ จนกว่าอินเดียกับจีนจะยอมร่วมมือกับประเทศตะวันตกด้านการยุติการค้าขายพลังงานกับรัสเซีย ซึ่งประเด็นนี้อาจเป็นหัวข้อสำคัญที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะหารือกับผู้นำจีนและอินเดียในการประชุมสุดยอดเอเปคที่จะมีขึ้นที่เกาหลีใต้ในปลาย ตุลาคม 2568







