![]()

สื่อต่างประเทศยังคงติดตามรายงานการเยือนเอเชียของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเมื่อ 29 ตุลาคม 2568 มีรายงานว่าผู้นำสหรัฐฯ เยือนเกาหลีใต้ และมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือเอเปค รวมทั้งการเจรจากับผู้นำจีน อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ เผชิญความท้าทายในการเยือนเกาหลีใต้ เพราะนอกเหนือจะมีชาวเกาหลีใต้รวมตัวกันประท้วงต่อต้านและขับไล่ประธานาธิบดีทรัมป์ภายใต้แคเปญ “No Trump” ในกรุงโซล ตั้งแต่ 26 ตุลาคม 2568 ยังมีรายงานว่าเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธ ในช่วงก่อนที่เครื่องบิน Air Force One ของผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางถึงท่าอากาศยานปูซาน เกาหลีใต้ด้วย
เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธร่อน (sea-to-surface cruise missiles) ในบริเวณทะเลเหลือง ทางทิศตะวันตกของประเทศ เมื่อ 28 ตุลาคม 2568 เพื่อแสดงให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้เห็นว่ากองทัพเกาหลีเหนือมีแสนยานุภาพในการปกป้องประเทศจากภัยคุกคามและศัตรู โดยขีปนาวุธดังกล่าวสามารถร่อนอยู่ในอากาศได้นาน 2 ชั่วโมงก่อนที่จะพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมาย ด้านนาย Pak Jong Chon เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเกาหลีเหนือเข้าร่วมสังเกตการณ์การยิงทดสอบดังกล่าว และประกาศว่าประสบความสำเร็จ รวมทั้งเป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือด้วย
เกาหลีใต้และสหรัฐฯ เฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวด้านการทหารของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด พร้อมระบุว่าสามารถตรวจจับการทดสอบดังกล่าวได้และร่วมกันวิเคราะห์ภัยคุกคาม ตลอดจนเตรียมความพร้อมเพื่อตอบโต้อันตรายจากปฏิบัติการยั่วยุทางการทหารของเกาหลีเหนือ ด้านนักวิเคราะห์ประเมินว่า เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธดังกล่าวเพื่อเป็นสัญญาณป้องปรามความร่วมมือด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ รวมทั้งญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มจะเข้มข้นขึ้นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และกรณีประธานาธิบดีทรัมป์เร่งกระตุ้นให้พันธมิตรด้านความมั่นคงในเอเชียเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและกลาโหม อาจเป็นความท้าทายของเกาหลีเหนือมากขึ้น
การยิงทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือไม่ส่งผลกระทบต่อกำหนดการและแผนการเยือนเกาหลีใต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ ใน 29 ตุลาคม 2568 มีกำหนดการพบหารือกับผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้ แต่ยังไม่มีกำหนดการได้พบหารือกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ จากนั้นผู้นำสหรัฐฯ จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือเอเปคที่เมืองคยองจู โดยมีแผนจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนด้วย
เกาหลีใต้ยังคงเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากในห้วงนี้จะมีผู้นำต่างประเทศเยือนเกาหลีใต้จำนวนมาก จึงต้องเฝ้าระวังการโจมตีทั้งเชิงกายภาพและการโจมตีทางไซเบอร์จากศัตรูภายนอกประเทศ รวมทั้งรับมือกับชาวเกาหลีใต้ที่รวมตัวกันประท้วงต่อต้านผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ทั้งสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ที่ไม่พอใจนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่กดดันนโยบายการค้ากับเกาหลีใต้ และกรณีสหรัฐฯ กวาดล้างแรงงานชาวเกาหลีใต้ให้เดินทางออกจากโรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมุมมองต่อสหรัฐฯของชาวเกาหลีใต้ต่อสหรัฐฯ อย่างมาก







