![]()

ประเด็นการเปิดแฟ้มคดีนายเจฟฟรีย์ เอปสไตน์ นักการเงินชาวอเมริกันที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่เหยื่อ กำลังได้รับความสนใจจากชาวอเมริกันและสื่อมวลชนต่างประเทศ เพราะคาดว่านักการเมืองและผู้ทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อาจเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว รวมทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้คัดค้านการเปิดเผยข้อมูลคดีนี้ และกล่าวโทษว่าพรรคเดโมแครตพยายามใช้ประเด็นนี้ทำลายภาพลักษณ์ทางการเมืองของตน
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งอนุมัติให้เปิดเผยแฟ้มคดีดังกล่าวแล้ว ซึ่งจะเปิดทางให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ รวมทั้งสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) เผยแพร่เอกสารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของนายเอปสไตน์ต่อสาธารณชนภายใน 30 วัน ทำให้มีโอกาสสูงที่เอกสารดังกล่าวจะพาดพิงไปถึงนักการเมือง ผู้ทรงอิทธิพล รวมทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกับนายเอปสไตน์
แม้ว่านายเอปสไตน์ จะเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2562 แต่การเปิดเผยข้อมูลคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเด็กและเรื่องอื้อฉาวเป็นเรื่องที่ฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อความโปร่งใสในการสอบสวนและให้ความเป็นธรรมต่อเหยื่อ จึงมีการผลักดันรัฐบัญญัติ The Epstein Files Transparency Act ที่จะกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลที่อาจเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของนายเอปสไตน์ได้ สาเหตุที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจประเด็นนี้อย่างมาก เพราะปัจจุบันมีเพียงนายกิสเลน แม็กซ์เวลล์ ผู้สมรู้ร่วมคิดของนายเอปสไตน์ที่ถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้ประเด็นนี้หาเสียงในช่วงการเลือกตั้งว่าจะเปิดเผยแฟ้มคดีดังกล่าว เพื่อต่อต้านการค้าประเวณีและการล่วงละเมิดเด็ก ที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงในประเทศ
“การเปิดแฟ้มคดีเอปสไตน์” อาจเป็นการเปิดเผยรายชื่อผู้ทรงอิทธิพล นักการเมือง และบุคคลสำคัญระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ แต่กรณีนี้อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าในเอกสารบางส่วนมีชื่อนายแอนดรูว์ เมานต์แบตเทน วินด์เซอร์ หรืออดีตเจ้าชายแอนดรูว์ของสหราชอาณาจักร รวมทั้งนายอีลอน มัสก์ ผู้ทรงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีด้วย
การที่ประธานาธิบดีทรัมป์อนุมัติการเปิดเผยข้อมูลคดีดังกล่าว อาจเป็นเพราะมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แม้ว่าจะเคยรู้จักกับนายเอปสไตน์จริง แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ อาจต้องการลดแรงกดดันจากพรรครีพับลิกัน ที่เริ่มใช้อำนาจของพรรคกดดันประธานาธิบดีทรัมป์มากขึ้นเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของพรรค เนื่องจากชาวอเมริกันให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องความโปร่งใสและตรวจสอบได้ (transparency) สถานการณ์ครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องรักษาดุลอำนาจในการควบคุมสมาชิกพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้สนับสนุนหรือกลุ่ม MAGA เริ่มแตกแยก เพราะไม่พอใจท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อกรณีการเปิดเผยคดีเอปสไตน์ และการดำเนินนโยบายภาษีที่ส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกัน







