![]()

ประธานาธิบดี Luiz Inacio Lula da Silva ของบราซิลเผชิญความท้าทายในการโน้มน้าวประเทศที่เข้าร่วมการประชุม COP30 หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 ให้ร่วมกันรับรองแผนการเปลี่ยนรูปแบบพลังงาน จากพลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด และการตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ แก้ไขปัญหาโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุสำคัญเนื่องจากหลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ไม่เห็นด้วยกับการให้คำมั่นว่าจะต้องปฏิบัติตามแผนงานหรือ roadmap ที่ไม่ยุติธรรม เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้รับรองด้วย เนื่องจากจะไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ หรือแม้กระทั่งอินเดีย ซึ่งมีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ก็คัดค้านว่าแผนงานทั้ง 2 ประเด็นยังไม่สร้างแรงกดดันมากพอให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมมือหรือช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น อินเดียจึงเสนอให้แต่ละประเทศมีแผนงานเป็นของตัวเอง มากกว่าต้องดำเนินการตามแผนงานของนานาชาติ
การที่ประเทศทั่วโลกมีความพร้อมแตกต่างกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทำให้บราซิลและองค์กรระหว่างประเทศเผชิญความท้าทายในการหาแนวปฏิบัติร่วมที่จะให้นานาชาติร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกที่เกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนและอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างน่ากังวล แม้ว่าจะมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันแล้วว่าปัญหาโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรงอย่างมาก แต่ประเทศต่าง ๆ ก็ยังหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ เพราะมีมุมมองต่างกันเรื่องการพัฒนา ความยุติธรรม ความรับผิดชอบ และความเท่าเทียม
การประชุม COP30 ที่บราซิลจะสิ้นสุดลงใน 21 พฤศจิกายน 2568 นี้มีแนวโน้มว่าอาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใหม่ ๆ ที่มีพลังอำนาจมากพอจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานฟอสซิล หรือการกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา แต่อย่างน้อย…การประชุม COP30 ก็ทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สะท้อนว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ และทำให้สาธารณชนให้ความสนใจเรื่องการปกป้องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่วนการประชุมครั้งต่อไปหรือ COP31 จะจัดที่ตุรกี เมือง Antalya
สำหรับการประชุม COP30 ครั้งนี้ จัดขึ้นที่เมือง Belem ของบราซิล ซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นที่ป่าแอมะซอน เพื่อให้ผู้แทนจากต่างประเทศได้เข้าใจปัญหาโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมและชนเผ่าในพื้นที่เข้าร่วมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ เพิ่มความจริงจังและใส่ใจปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนฉับพลันมากขึ้น รวมทั้งมีการชุมนุมในนามกลุ่ม “Great People’s March” เพื่อเรียกร้องต่อนานาชาติเรื่องการละเมิดสิทธิประชาชนจากการผลิตพลังงานฟอสซิลด้วย ด้านองค์กรระหว่างประเทศ Amnesty International ใช้การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำให้ทั่วโลกตระหนักว่าประชากรโลกจำนวนหลายพันล้านคนกำลังถูกลิดรอนสิทธิ เผชิญความเสี่ยงและภัยคุกคามจากโครงการผลิตพลังงานฟอสซิล ทั้งการขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน







