![]()

หน่วยยามชายฝั่งของสหรัฐฯ เมื่อ 22 ธันวาคม 2568 เปิดเผยกับสื่อมวลชนต่างประเทศว่าได้ปฏิบัติการยึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา เป็นลำที่ 3 เนื่องจากสหรัฐฯ เชื่อว่าเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “dark fleet” หรือ “shadow fleet” ซึ่งหมายถึงเรือบรรทุกสินค้าผิดกฎหมาย เรือที่ติดธงปลอม เรือที่ขึ้นทะเบียนไม่ถูกต้อง รวมทั้งเรือที่จงใจบิดเบือนและปิดบังข้อมูลระบบระบุตัวตนอัตโนมัติ (AIS) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ที่เวเนซุเอลาใช้สำหรับละเมิดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้ หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เริ่มจับตาความเคลื่อนไหวของกระบวนการดังกล่าว และประเมินว่าเวเนซุเอลามีแนวโน้มใช้ dark fleet เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้เมื่อ 11 ธันวาคม 2568 หน่วยยามชายฝั่งสหรัฐฯ ปฏิบัติการสกัดกั้นและยึดเรือบรรทุกน้ำมัน Skipper ที่เดินเรือออกจากเวเนซุเอลา และอยู่ในน่านน้ำสากล เป็นครั้งแรก สะท้อนว่า ปัจจุบัน หน่วยความมั่นคงสหรัฐฯ เฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของเรือขนส่งสินค้าในภูมิภาคอเมริกาใต้อย่างใกล้ชิด และกำลังจะยกระดับการสกัดกั้นภัยคุกคามจากการเฝ้าระวัง ไปสู่การปฏิบัติการตอบโต้ด้วยการยึดเรือไว้ตรวจสอบ เพื่อขยายผลและป้องกันภัยคุกคามจากการเดินเรือสินค้าผิดกฎหมายต่อไป
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าปฏิบัติการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ เนื่องจากมีมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา ตลอดจนปรามปรามการกระทำผิดกฎหมายในน่านน้ำสากล ด้านผู้นำเวเนซุเอลาระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการบั่นทอนเศรษฐกิจ ความมั่นคง และกำลังดำเนินการทุกวิธีการเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเวเนซุเอลา นอกจากนี้ ยังโจมตีปฏิบัติการของสหรัฐฯ ว่าเข้าข่ายการกระทำอันเป็นโจรสลัด และทำให้บรรยากาศการเดินเรือในภูมิภาคอเมริกาใต้ไม่มีเสถียรภาพ หรือปลอดภัย เนื่องจากสหรัฐฯ ใช้กำลังทหารในการควบคุมเส้นทางเดินเรือในน่านน้ำสากล
เวเนซุเอลาได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ มีรายงานว่าจำนวนการส่งออกน้ำมันลดลง หลังจากสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันลำแรกเมื่อต้น ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ คว่ำบาตรการค้าน้ำมันกับเวเนซุเอลาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้บริษัทน้ำมันของเวเนซุเอลาเริ่มใช้ความเคลื่อนไหวในลักษณะ dark fleet เพื่อลักลอบส่งออกน้ำมันไปยังประเทศต่าง ๆ







