![]()

สื่อมวลชนสหรัฐฯ เมื่อ 22 ธันวาคม 2568 รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนการปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในการดำเนินนโยบายการทูตของสหรัฐฯ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย America First ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยจะเรียกตัวผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการทูตจาก 29 ประเทศทั่วโลก กลับสหรัฐฯ ในต้นปี 2569 ซึ่งสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตว่า นักการทูตระดับสูงที่อยู่ในบัญชีถูกเรียกตัวกลับนี้ เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อและดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ หรือผู้แทนสหรัฐฯ ระดับสูงสุดในต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน และปกติจะต้องดำรงตำแหน่งอยู่ครั้งละเวลา 3-4 ปี
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ยืนยันจำนวนหรือรายชื่อนักการทูต หรือเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในต่างประเทศที่จะถูกเรียกตัวกลับ แต่ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานที่ทุกรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ ตลอดจนเน้นย้ำว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในต่างประเทศ หรือนักการทูตระดับสูง เท่ากับผู้แทนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในต่างประเทศ ดังนั้น จึงเป็นตำแหน่งสำคัญ และต้องมั่นใจว่าผู้ดำรงตำแหน่งนั้นสนับสนุนนโยบาย America First ของผู้นำรัฐบาล
มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ทีประจำการใน สปป.ลาว เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีรายงานว่าอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ที่ต้องเดินทางกลับประเทศ ส่วนประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ได้แก่ ศรีลังกา เนปาล ฟิจิ หมู่เกาะมาร์แชล และปาปัวนิวกินี สำหรับนักการทูตสหรัฐฯ ที่ถูกเรียกตัวกลับประเทศ ส่วนใหญ่ประจำการอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา จำนวน 13 ประเทศ จากยุโรป 4 ประเทศ จากภูมิภาคตะวันออกกลาง 2 ประเทศ
ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องปฏิรูปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์มีมุมมองว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการกำจัดเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากนโยบาย America First และเตรียมจะเสนอรายชื่อบุคคลที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไว้วางใจไปประจำการเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน ก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐฯ ลดจำนวนเจ้าหน้าที่และลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อ กรกฎาคม 2568 ได้เริ่มกระบวนการลดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน 1,107 ตำแหน่ง และลูกจ้างต่างชาติจำนวน 246 ตำแหน่ง







