![]()

สมาชิกพรรค Union Solidarity and Development Party หรือ USDP ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่และทรงอิทธิพลในเมียนมา รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศเมื่อ 29 ธันวาคม 2568 แสดงความมั่นใจว่าได้รับคะแนนนำในการเลือกตั้งรอบที่ 1 เมื่อ 28 ธันวาคม 2568 โดยเปิดเผยว่าได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 82 ที่นั่ง จากทั้งหมด 102 ที่นั่ง จากผลการเลือกตั้งในเมืองสำคัญต่าง ๆ รวมทั้งกรุงเนปยีดอ เท่ากับมีแนวโน้มจะได้ครองเสียงข้างมากในสภา และจะได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล
ความเชื่อมั่นของพรรค USDP สอดคล้องกับการประเมินของนักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าพรรค USDP จะได้คะแนนจากการเลือกตั้งมากที่สุด เพราะได้เปรียบในการส่งผู้แทนลงสมัครจำนวนมาก และไม่มีคู่แข่งที่สำคัญจากพรรคฝ่ายค้านกว่า 40 พรรคการเมืองที่ถูกตัดสินยุบพรรคไปแล้ว รวมทั้งถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เมียนมาจะยังมีการเลือกตั้งรอบต่อไปในต้นปี 2569 จึงยังต้องติดตามผลลัพธ์และบรรยากาศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ยังคงมีการสู้รบและการปะทะระหว่างกองทัพกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และชนกลุ่มน้อย
เริ่มปรากฏกระแสการเรียกร้องให้อาเซียนคัดค้านผลการเลือกตั้งของเมียนมา เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ “ไร้ทางเลือก” ประชาชนจำนวนมากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 และปี 2563 ที่ประชาชนมีความหวังทางการเมืองและให้ความสนใจกับการเลือกตั้งอย่างมาก ปัจจุบัน ผู้ที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ด้านเยาวชนผู้ที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งไม่กล้าแสดงความคิดเห็น บางส่วนจำใจไปใช้เลือกตั้งเพราะกลัวว่าจะถูกรัฐบาลตัดสิทธิ์การเดินทางไปต่างประเทศหรือสิทธิ์อื่น ๆ และบางส่วนก็ไม่เดินทางออกไปเลือกตั้งเพราะวิตกกับความปลอดภัย ขณะที่กองทัพเมียนมาไม่ได้พยายามสร้างบรรยากาศการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองร่วมกับกลุ่มผู้เห็นต่างอย่างแท้จริง ตลอดจนมีรายงานว่า ทหารเมียนมาถูกบังคับใช้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และต้องแสดงหลักฐานว่าไปใช้สิทธิ์แล้วแก่ผู้บังคับบัญชาด้วย ดังนั้น การรับรองผลการเลือกตั้งจะทำให้กองทัพเมียนมามีข้ออ้างในการใช้มาตรการปราบปรามประชาชนเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเมือง
เมียนมาไม่จัดการเลือกตั้งในพื้นที่ที่กองทัพควบคุมไม่ได้ ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ครอบคลุมประชากรทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้นำเมียนมายังเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ พร้อมกันนี้ พลเอกอาวุโสมินอ่องไลง์ ผู้นำเมียนมาคนปัจจุบันไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะกลับไปเป็นผู้นำประเทศอีก เพียงแต่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าตัวเขาเป็นข้าราชการและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงไม่สามารถพูดได้ว่าต้องการทำอะไร และไม่ได้เป็นผู้นำพรรคการเมือง ดังนั้น การที่พลเอกอาวุโสมินอ่องไลง์จะได้เป็นผู้นำประเทศหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผลการประชุมของรัฐสภาเมียนมา หลังจากการเลือกตั้ง เพราะจะเป็นขั้นตอนการเสนอและคัดเลือกประธานาธิบดี







