![]()

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อ 29 ธันวาคม 2568 พบหารือกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ที่รีสอร์ท Mar-a-Lago รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ตลอดจนหารือเรื่องแผนสันติภาพในตะวันออกกลางและฉนวนกาซา สะท้อนความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลในฐานะพันธมิตรด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์รับตำแหน่งเมื่อ มกราคม 2568 และผู้นำสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์กับอิสราเอลมาโดยตลอด แม้ว่าอิสราเอลจะเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติอย่างมากก็ตาม
สาระสำคัญจากการหารือระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ครอบคลุมสถานการณ์ในฉนวนกาซาและภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่น่าสนใจ คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการผลักดันแผนสันติภาพระยะที่ 2 ในฉนวนกาซา เพื่อทำให้พื้นที่ในฉนวนกาซามีความมั่นคงปลอดภัย สามารถตั้งระบอบการปกครองขึ้นใหม่ ส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปควบคุมความมั่นคงในพื้นที่ และทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากกว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮะมาสจำเป็นต้องปลดอาวุธทั้งหมดก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าชาวปาเลสไตน์จะปลอดภัยและสามารถจัดตั้งรัฐบาลปกครองฉนวนกาซาได้
ท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ สะท้อนว่าปัจจุบันและอนาคต รัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่ออิสราเอลมากขึ้น เพราะนอกจากจะสนับสนุนการปลดอาวุธกลุ่มฮะมาสในฉนวนกาซาแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังชื่นชมนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูว่าเป็น “วีรบุรุษ” ที่ปกป้องชาวอิสราเอล ประเทศชาติ และภูมิภาคตะวันออกกลางเอาไว้ รวมทั้งไม่คัดค้านอิสราเอลกรณีพยายามขยายอิทธิพลเหนือจุดยุทธศาสตร์สำคัญในฉนวนกาซา ทั้งที่นานาชาติวิตกกังวลว่าเป็นการละเมิดสิทธิชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ กดดันและกระตุ้นให้อิสราเอลฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ดีกับซีเรีย ยุติการรุกรานซีเรีย โดยเฉพาะในที่ราบสูงโกลัน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ซีเรียอาจบั่นทอนความมั่นคงในซีเรีย จนทำให้ถูกแทรกแซงจากประเทศอื่น ๆ รวมทั้งกลุ่มก่อการร้ายได้ง่าย
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังใช้การหารือดังกล่าวส่งสัญญาณถึงอิหร่านว่ายังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อภูมิภาค รวมทั้งสหรัฐฯ เพราะอิหร่านมีแนวโน้มจะเดินหน้าโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ผู้นำสหรัฐฯ จึงใช้โอกาสนี้ ขู่อิหร่านว่าสหรัฐฯ พร้อมจะปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่านหากพบว่ามีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นเพราะอิหร่านเชื่อว่าปัจจุบัน สหรัฐฯ กำลังเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของอิหร่าน และเตรียมโจมตีโรงงานพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน







