พรรคเดโมแครตเมื่อ 1 สิงหาคม 2567 เริ่มกระบวนการประชุมพรรคเพื่อเสนอชื่อและรับรองผู้แทนพรรคชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใน 5 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการขานชื่อ หรือ roll call ที่มีผู้แทนพรรคเดโมแครตจำนวน 4,700 คนทั่วประเทศมาลงคะแนนเพื่อเลือกผู้แทนพรรคชิงตำแหน่งประธานาธิบดีดี ซึ่งปีนี้แตกต่างจากปีอื่น ๆ เนื่องจากพรรคเดโมแครตเลือกตั้งวิธีการลงคะแนนผ่านระบบออนไลน์ที่ Democratic National Committee จัดทำขึ้น คาดว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะได้รับการเสนอชื่อและสนับสนุนให้เป็นผู้แทนพรรค
แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มการหาเสียงได้เป็นระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่เป็นผู้แทนพรรคที่แข็งแกร่งและมีโอกาสได้รับการยอมรับมากที่สุด เมื่อเผชิญหน้ากับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนของพรรครีพับลิกัน ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเน้นนโยบายปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และชาวอเมริกันแบบอนุรักษ์นิยม
สำหรับการคัดเลือกผู้แทนพรรคครั้งนี้ คุณแฮร์ริสจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้แทนพรรคอย่างน้อย 1,976 คะแนน ระยะเวลาการลงคะแนนในช่วงนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 5 สิงหาคม 2567 จากนั้นพรรคเดโมแครตจะประชุมพรรคอย่างเป็นทางการโดยที่สมาชิกต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยตัวเองใน 19 -22 สิงหาคม 2567 เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์
เมื่อคุณแฮร์ริสได้รับการเสนอและรับรองให้เป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการแล้ว จะต้องเลือกคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือ running mate ซึ่งปัจจุบันยังไม่ยืนยันบุคคล แต่สื่อสหรัฐฯ คาดว่าผู้ที่อาจได้รับเลือกเป็น running mate ได้แก่ นาย Andy Beshear ผู้ว่าการรัฐเคนตักกี นาย Tim Walz ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา วุฒิสมาชิก Mark Kelly รัฐแอริโซนา และนาย Josh Shapiro ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนีย
คุณกมลา แฮร์ริส อายุ 59 ปี ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกัน เนื่องจากมีสถานะเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สตรีผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ และเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่มีครอบครัวเป็นผู้อพยพ มีแนวคิดและอุดมการณ์หัวก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม บทบาทของคุณแฮร์ริสในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ค่อยโดดเด่น รวมทั้งมีกรณีการบริหารจัดการพรมแดนและผู้อพยพบริเวณชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโกที่ตกเป็นประเด็นวิจารณ์เชิงลบ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายได้
ปัจจุบันพรรคเดโมแครตเร่งประชาสัมพันธ์ผลงานทางการเมือง และล่าสุดโปรโมทความสำเร็จในการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวนักโทษระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย โดยสามารถช่วยเหลือชาวอเมริกันที่ถูกควบคุมตัวไว้ในรัสเซียได้จำนวน 3 คน ถือว่าเป็นปฏิบัติการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษครั้งสำคัญและจำนวนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คุณโดนัลด์ ทรัมป์โจมตีเหตุการณ์นี้ว่าเป็นความล้มเหลว และอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจ่ายค่าไถ่เพื่อให้รัสเซียปล่อยตัวนักโทษ ซึ่งโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่าไม่มีการจ่ายค่าไถ่ หรือผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย