ท่ามกลางกระแสข่าวการแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดขึ้นไปรับตำแหน่งสำคัญในทีมทำเนียบประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งอีกครั้งใน 20 ม.ค.68 ช่วงนี้ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ พร้อมหารือกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อให้ชาวอเมริกันเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง (transition period) จากผู้นำสังกัดพรรคเดโมแครต ไปเป็นพรรครีพับลิกัน จะราบรื่น ซึ่งจากการหารือกันเมื่อ 13 พ.ย.67 เป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง ที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวอชิงตัน ดี.ซี. บรรยากาศเป็นไปด้วยดี รวมทั้งได้คุยกันเรื่องความมั่นคงของชาติ และนโยบายภายในประเทศที่สำคัญ
การพบกันครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ได้รับเชิญให้ไปเยือนทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ตั้งแต่พ้นตำแหน่งไปเมื่อ ม.ค.64 รวมทั้งเป็นการแสดงออกถึงภาวะความเป็นมืออาชีพของประธานาธิบดีไบเดนด้วย เนื่องจากตอนที่ประธานาธิบดีไบเดนชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2563 ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เชิญไปหารือล่วงหน้าก่อนพิธีสาบานตนเลย!! และตอนที่ประธานาธิบดีไบเดนเข้าพิธีสาบานตน ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ไม่เข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย!! …การพบกันในครั้งนี้จึงอาจช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย และลดระดับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ
สำหรับช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตำแหน่งต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ด้วยการตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมา ส่วนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ต้องรับทราบสถานการณ์บ้านเมืองอย่างลึกซึ้งจากมุมมองของหน่วยความมั่นคงและประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ ต้องพิจารณาการบริหารงบประมาณราชการมูลค่าเกือบ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งต้องเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลมากกว่า 4,000 ตำแหน่ง เพื่อให้มีความพร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันทีเมื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ ต้องพร้อมเผชิญความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและสถานการณ์ในต่างประเทศ
แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ แต่ในอีกมุมมอง ช่วงเวลานี้อาจะเรียกว่าเป็นช่วงรัฐบาลเป็ดง่อย หรือ lame duck เนื่องจากประธานาธิบดีไบเดนก็กำลังจะหมดอำนาจและอิทธิพลไป ส่วนว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ต้องรอเวลากว่าจะได้รับตำแหน่งจริง …จึงถือว่าไม่มีใครมากำกับทิศทางนโยบายสำคัญ
ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ทยอยประกาศรายชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งสำคัญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศแล้ว ล่าสุดที่ทั่วโลกสนใจ คือ นายมาร์โค รูบิโอ อายุ 53 ปี วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ รัฐฟลอริดา สังกัดพรรครีพับลิกัน ที่จะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าเขาจะปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันได้อย่างดี ความน่าสนใจของว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนนี้ คือ จะเป็นผู้นำการต่างประเทศของสหรัฐฯ คนแรกที่มีเชื้อสายละติน มีชื่อเสียงเพราะความทะเยอทะยานและฉลาดหลักแหลม รวมทั้งได้รับการยอมรับจากวุฒิสมาชิกคนอื่น ๆ